xs
xsm
sm
md
lg

“จาตุรนต์” กระดิกรับลูก “ปู” โพสต์เฟซบุ๊กเห็นด้วยวุฒิสภาคว่ำ กม.นิรโทษฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“จาตุรนต์” กระดิกรับลูก “นายกฯปู” แถลงรอบ 3 ถอนร่างปรองดอง โพสต์เฟซบุ๊กชัดเห็นดีหากวุฒิสภาจะคว่ำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยัน ส.ส.เพื่อไทยจะปล่อยให้กฎหมายตกไป ขอให้ผู้ชุมนุมสบายใจ ไม่มีการออกกฎหมายแน่นอน หลังถูกอาจารย์ครุศาสตร์ จุฬาฯ จี้ฟังเสียงพลังบริสุทธิ์นักศึกษา เหตุเคยเป็นแกนนำนักศึกษาเคลื่อนไหวทางการเมืองมาแล้ว พร้อมจวกกลุ่มจ้องล้ม รบ.เหตุผลไร้น้ำหนัก
แฟ้มภาพ
วันนี้ (7 พ.ย.) ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้นำทางการศึกษาได้จัดบรรยาย “หยุด!! การโกง...” โดยรศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า คณะครุศาสตร์ ถือว่าเป็นครูของแผ่นดิน ดังนั้น ต้องกล้าชี้นำสังคม กล้าแสดงออก กล้าเปิดเผย กล้าวิพากษ์วิจารณ์ และหากจะทำอะไรต้องยึดหลักความถูกต้องเป็นกลาง คิดอย่างรอบคอบ ข้อมูลที่จะให้กับใครต้องกลั่นกรองให้ดี และให้ผู้รับไปตัดสินใจเองว่าคิด เห็นเป็นอย่างไร ขณะที่กลุ่มนิสิติ นักศึกษา คณาจารย์ทั่วประเทศจะต้องออกมาเคลื่อนไหว แสดงพลังเนื่องจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เกี่ยวข้องกับหลักการ คุณธรรม จริยธรรม แต่ร่างที่รัฐบาลทำอยู่ผิดหลักการ ขัดต่อกฎหมาย และวิชาชีพครูอย่างรุนแรง อีกทั้งปลูกฝังอุดมการณ์ที่ผิดที่คนโกงไม่ผิด ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วครูจะไปสอนให้นิสิตโตไปไม่ให้โกงได้อย่างไร

ผมเห็นว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ นั้นก็เคยเป็นผู้นำนักศึกษาในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงที่เป็นนักศึกษาน่าจะเข้าใจอย่างดีว่าพลังนิสิตนักศึกษาบริสุทธิ์จะต้องรับฟัง และนำไปสะท้อนให้รัฐมนตรีทุกคนอย่าทำอะไรขัดหลักการ ขัดหลักนิติธรรม หรือใช้อำนาจเกินขอบเขต นอกจากนี้ที่ผ่านมาอาจารย์สุชาติ ตันธนะเดชา อดีตอาจารย์คณะครุศาสตร์ ยังบอกว่าได้ยินชาวบ้านกล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ได้เป็นกฎหมาย แต่เป็นกฎหมา ที่มีความผิดเพี้ยนและแย่มาก ซึ่งแสดงว่าขณะนี้ต้นทุนสังคมเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมของรัฐสภาไทยต่ำ ขาดการยอมรับจากนี้จะออกกฎหมายอะไรคงไม่มีใครเชื่อถือแล้ว” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

ด้าน รศ.ดร.กรรณิการ์ สัจกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ตนไม่อยากเห็นนิสิตจุฬาฯ ทำตัวเฉย ไม่รู้สึก รู้ร้อน รู้หนาวกับเหตุการณ์ต่างๆ หรือทำตัวเป็นสุญญากาศ และเห็นใครทำผิดแล้วจะเฉย เพราะถ้าเราเฉยเท่ากับเป็นการไปยุยงให้คนๆ นั้นทำผิดต่อไปและจะทำให้เราไม่ มีค่าอะไรเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ผ่านเฟซบุ๊ก “Chaturon Chaisang” ขณะร่วมประชุมใหญ่ยูเนสโก ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่า ตนติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองอยู่ตลอด เท่าที่ดูล่าสุด แม้ว่าผู้ชุมนุมจะยังมีกิจกรรมต่อเนื่องไปอย่างน้อยก็ถึงวัน ที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่วุฒิสภาจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่เหตุการณ์น่าจะคลี่คลายไปได้บ้าง เพราะแนวโน้มวุฒิสภาคงจะคว่ำกฎหมายฉบับนี้แน่แล้ว และทางพรรคเพื่อไทยก็ประกาศชัดเจนแล้วด้วยว่าหาก ส.ว.ลงมติไม่ผ่านกฎหมายฉบับ นี้ ส.ส.พท.ก็จะไม่ยืนยัน และจะปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้ตกไป นอกจากนี้ทาง พท.ก็ยังมีมติให้ ส.ส.ของพรรคไปถอนร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการนิรโทษทุกฉบับที่ค้างอยู่ในสภาด้วย ดังนั้นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษโดยเฉพาะการนิรโทษแบบเหมาเข่ง สุดซอยนั้นก็คงจะสบายใจได้ว่าจะไม่มีการออกกฎหมายดังกล่าวอีกแล้วอย่างน้อย ก็ในรัฐบาลนี้หรืออายุของสภาผู้แทนชุดนี้ การที่ พท.ตัดสินใจประกาศเช่นนี้มี ข้อดีคือช่วยลดกระแสความขัดแย้งที่มีแนวโน้มที่จะบานปลายลงได้พอสมควรทีเดียว จะมีข้อเสียอยู่บ้างก็ตรงที่ทำให้ไม่สามารถนิรโทษประชาชนทุกฝ่ายตามที่ ตั้งใจไว้แต่เดิมซึ่งหลายฝ่ายก็ดูจะเห็นพ้องต้องกันแล้วด้วย แต่จะใช้วิธีให้ ส.ว.รับหลักการแล้วไปแก้กลับมาเป็นแบบร่างของคุณวรชัย เหมะ ก็คงจะไม่ได้แล้วเพราะไม่มีใครไว้ใจใครว่าสุดท้ายจะไม่กลับมาเป็นปัญหาอีก ตนจึงเห็นว่าดีที่สุดวุฒิสภาควรจะมีมติคว่ำกฎหมายฉบับที่ผ่านสภาผู้แทนไปเสีย ส่วนการจะหาทางนิรโทษประชาชนทุกฝ่ายไม่รวมแกนนำและผู้สั่งการนั้นค่อยไปว่า กันในวันข้างหน้า

นายจาตุรนต์ โพสต์ข้อความต่อว่า เมื่อกฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านวุฒิสภาแล้ว เหตุการณ์ยังจะตึงเครียดต่อไปหรือจะบานปลายร้ายแรงกว่าเดิมหรือไม่นั้น ตนหวังว่าเหตุการณ์น่าจะผ่อนคลายไปได้ไม่น้อย เพราะต้นเหตุที่ทำให้การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีพลังมากก็เพราะผู้คนส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาของกฎหมายด้วยเหตุผลที่ต่างๆ กัน เมื่อกฎหมายตกไป เหตุที่คนส่วนใหญ่ที่ไม่พอใจก็ย่อมตกไปด้วย ส่วนผู้ที่ยังเคลื่อนไหวต่อไปด้วยเหตุอื่น เช่น ต้องการล้มรัฐบาลนั้น น่าจะเป็นคนส่วนน้อยมากที่ไม่มีเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอเพราะการจะเปลี่ยนรัฐบาลยังมีวิธีการตามระบบรัฐสภาให้ดำเนินการได้ นอกจากนี้หากจะมีการเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อล้มทั้งรัฐบาลและระบบประชาธิปไตยไป พร้อมๆ กันก็เป็นเรื่องที่ยิ่งไม่มีเหตุผล เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งทางความคิดเห็นทางการเมืองเกิดขึ้น ระบบรัฐสภายังมีวิธีการหาทางออกโดยสันติวิธีได้ และที่สำคัญเหตุการณ์ในหลายปีมานี้ก็พิสูจน์ให้ทุกฝ่ายเห็นชัดเจนแล้วว่าการแก้ปัญหาทางการเมืองที่เลยเถิดจนนำไปสู่การล้มระบบนั้นมีแต่จะทำให้ประเทศเสียหายหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก

ปัญหาใหญ่ที่น่าเป็นห่วงมากๆ หลังจากนี้ในความเห็นของตนนอกจากอันตรายที่อาจจะเกิด ขึ้นกับระบบประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ก็คือความขัดแย้งในหมู่ผู้รักประชาธิปไตยที่ทำให้พลังประชาธิปไตยจะอ่อนแอลง และที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่จากนี้ไปคง ต้องมาตั้งหลักกันใหม่ด้วยความยากลำบากกว่าที่ผ่านมาอีกมากและก็คงต้องใช้เวลานานกว่าที่เคยคิดกัน ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเมื่อบ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย ก็ต้องพยายามกันต่อไป แม้ว่าจะลำบากยากเย็นเพียงใดก็ตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น