ตามที่นิตยสารฉลาดซื้อ ฉบับที่ 154 ประจำเดือน ธันวาคม 2556 ได้รวบรวมและจะทำ “เงิบแห่งปี” จากข่าวเกี่ยวกับผู้บริโภคในปี 2556 ที่ผ่านมา พบว่า มีอยู่ 9 เรื่องด้วยกัน ดังนี้
1.ประสบการณ์เงือก
เป็นเรื่องราวที่สตาร์บัคส์ประกาศฟ้องร้านกาแฟรถพ่วง “สตาร์บัง” โทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้ารูปนางเงือกสองหาง ซึ่งโลโก้ของบังเป็นรูปบังโพกผ้า มือหนึ่งถือกระบวยน้ำร้อน อีกมือชูสองนิ้ว โดยนักการตลาดให้ความเห็นว่านี่เป็นการ “ล้อเลียน” มากกว่า “ลอกเลียน” แต่สตาร์บัคส์บอกว่าจำเป็นต้องฟ้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเรียกค่าเสียหาย 300,000 บาท และดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมถึงให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เนื่องจากเดิมทีจะใช้วิธีเจรจาและให้ความช่วยเหลือจนอีกฝ่ายยอมปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าให้แตกต่างจากสตาร์บัคส์ แต่สตาร์บังขัดขืน ทั้งนี้ คำตัดสินในคดีอาญาเรื่องนี้จะรู้ผลวันที่ 10 ก.พ. 2557
2.ขาวดีมีทุนให้!!?
บริษัท ยูนิลิเวอร์ ปล่อยแคมเปญโฆษณาครีมผิวขาวตัวใหม่ เมื่อ ต.ค.ที่ผ่านมา โดยจัดกิจกรรม “ซิตร้าค้นหาสาวใสเด้งวิ๊ง 3D” เพื่อตามล่าหานักศึกษาสาวผิวขาวใส โดยให้แต่งชุดนักศึกษา โพสท่าโชว์ผิวเด้ง 3 มิติ พร้อมถือซิตร้า เพิร์ลลี่ไวท์ ซีรัม หรือโลชั่น แล้วแชะรูปเต็มตัว ส่งมาที่ www….” โดยผู้ชนะจะได้รางวัลเป็นทุนการศึกษากว่า 100,000 บาท พร้อมโอกาสในการได้ร่วมถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร Cheeze จนเกิดการถกเถียงมากมาย เช่น คนผิวคล้ำไม่มีโอกาสเลยหรือ ขายครีมผิวขาวจะแจกรางวัลคนผิวคล้ำก็ไม่ตรงคอนเซ็ปต์ หรือเรียกรางวัลว่าทุนการศึกษาเพราะจะได้ไม่ต้องเสียภาษี เป็นต้น เรื่องนี้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ของอังกฤษและออสเตรเลียหลายฉบับ ซึ่งสุดท้ายบริษัทออกมาขอโทษว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องการเหยียดสีผิว จากนั้นจึงถอนแคมเปญนี้ออก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้นักศึกษาหรือวัยรุ่นทั่วไปได้เห็นความจริงว่า คนที่มาถ่ายรูปชิงรางวัลนั้นขาวอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผลิตภัณฑ์ที่ถืออยู่ในมือ
3.ขาขึ้น
เมื่อราคาแก๊สหุงต้ม ค่าไฟฟ้า และค่าทางด่วน พร้อมใจกันขึ้นราคาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา แม้กระทรวงพลังงานจะระบุว่า ราคาแก๊สหุงต้ม (แอลพีจี) ปรับขึ้นเพียงกิโลกรัมละ 50 สตางค์ต่อเดือน ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนมากนัก และประกาศให้ความช่วยเหลือผู้เดือดร้อนกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยืนยันว่าส่งผลกระทบน้อยมาก เพราะก๊าซหุงต้ม 1 ถังใช้ประกอบอาหารได้ประมาณ 300 จาน การปรับขึ้นก๊าซเดือนละ 50 สตางค์/กก.ทำให้ต้นทุนราคาอาหารปรุงสำเร็จเพิ่มขึ้นจานละ 2-3 สตางค์เท่านั้น จึงขอความร่วมมือจากทางร้านไว้ ให้ช่วยตรึงราคาอาหารปรุงสำเร็จเอาไว้จนถึงสิ้นปี!!
4.รับรองซิมไม่ดับ
วันที่ 15 ก.ย.2556 บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู ย้ำหนักแน่นว่า ซิมไม่ดับแน่นอน เพราะ กสทช.อนุญาตให้ต่ออายุสัมปทานไปอีก 1 ปี ซึ่งการต่ออายุโดยงดประมูลเพื่อหารายใหม่นี้มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่าจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศและประชาชนเป็นมูลค่าสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท ทั้งนี้ กสทช.อ้างว่าไม่ต่ออายุไม่ได้ เพราะจะมีคนเกือบ 20 ล้านคนต้องถูกทอดทิ้ง จึงประกาศมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้น พร้อมอนุญาตให้ทรูครอบครองสัมปทานไปอีก 1 ปี และแถมท้ายด้วยการฟ้องหมิ่นประมาท อาจารย์เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ และนางสาวณัฎฐา โกมลวาทิน ที่ร่วมกันเผยแพร่ข่าวนี้ทางช่องไทยพีบีเอส
และหลังจากติดตามผลมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ของ กสทช.จากงานเสวนาเรื่อง “60 วัน ประกาศเยียวยา 1800 MHz ประชาชนได้อะไร” ยังพบว่า 3-4 ข้อห้าม ทั้งห้ามซิมดับ ห้ามขายเบอร์คลื่น 1800 อีก ห้ามโอนย้ายเลขหมายโดยไม่บอกผู้บริโภค ทรูก็จัดให้มีทุกข้อหลัง 15 กันยายน โดยเฉพาะห้ามโอนย้ายเลขหมายตามอำเภอใจ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ยังโดนกับตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น หาก กสทช.เตรียมการประมูลเอาไว้ล่วงหน้าก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในทุกคลื่นความถี่ นี่ก็แว่วเสียงจากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิด กสทช.บอกมาว่า ต่ออายุ 1800 ให้ทรูไป 1 ปี คงต้องต่อให้ เอไอเอส กับ ดีแทค ด้วย ไม่งั้นจะถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติ
5.ตกลงหมูหรือไก่
ตอนเดือนมีนาคม ฉลาดซื้อโดยคอลัมน์ซูมลงเรื่อง ฉลากเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวหมูย่าง ที่มันไม่ใช่หมูย่างล้วนๆ อย่างที่เข้าใจตามชื่อสินค้า แต่มีเนื้อไก่ผสมอยู่ด้วย พอมีคนเอาข้อมูลไปแชร์กันต่อ และหาข้อมูลเพิ่ม เลยกลายเป็นกระแส ผู้คนหันมาพลิกอ่านฉลากอาหารในร้านเซเว่นฯ และพบว่า อย่างเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริกหนุ่ม ปริมาณหมูกับไก่ พอฟัดพอเหวี่ยง หมู 10% ไก่ 9.9% ซึ่งผู้ผลิตอธิบายว่า เพื่อความอร่อยนั่น
ทั้งนี้ ฉลาดซื้อไปดูฉลากอาหารประเภทเดียวกันเพิ่มเติมอีกหลายยี่ห้อ พบว่า จริงอย่างซีพีว่า โดย ฉลาดซื้อสำรวจไป 76 ตัวอย่าง 46 ตัวอย่างฉลากไม่ไปกับชื่ออาหารเลย กุ้งทอดก็มีปลาผสม ไส้กรอกชีส ไม่มีชีสระบุในส่วนประกอบ เกี๊ยวปู ไม่บอกว่ามีปูเท่าไหร่ บอกแต่ว่า เนื้อสัตว์และแผ่นแป้ง ฯลฯ ความลำบากจะไม่เกิดกับคนที่กินอะไรก็ได้ แต่คนที่จำเป็นหรือมีข้อห้ามประจำตัว กินนี่ไม่ได้ นั่นไม่ได้ คงลำบากหน่อยนะ คงต้องอ่านฉลากกันดีๆ
6.โฟมในกำแพง
ใครจะไปคิดว่าคอนโดหรูเลิศอลังการ ราคาหลายล้าน จะใช้วัสดุที่ดูแล้วไม่น่าจะมีความแข็งแรงทนทานอย่าง “โฟม” มาทำผนังห้อง ซึ่งเรื่องเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของห้องชาวต่างชาติ ผู้อาศัยในคอนโด The Base park east สุขุมวิท 77 ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เรียกช่างมาทุบผนังห้องเพื่อดูว่าทำไมถึงมีน้ำรั่วซึมออกมา แต่กลับพบว่าผนังที่ควรก่อด้วยอิฐและซีเมนต์ กลายเป็นโฟมและแผ่นกระดาษที่ถูกสอดไว้อยู่ข้างใน จึงถ่ายภาพโฟมที่พบหลังจากการทุบผนัง ไปโพสต์ยังหน้าเฟซบุ๊กของแสนสิริ จึงเป้นประเด็นขึ้นมา สุดท้ายทางแสนสิริเจ้าของโครงการจึงต้องออกมายอมรับผิด โดยยอบรับว่าเป็นความบกพร่องของช่างผู้ทำงาน ที่อาจจะรีบร้อนให้งานเสร็จไวจึงใช้โฟมมาอุดผนังตรงบริเวณเต้ารับไฟฟ้าที่ติดอยู่ตรงผนัง ขนาดประมาณ 30 x 20 ซม. แต่ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร ตรงกับทางวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ที่ออกมาให้ความเห็นว่า โฟมที่พบเป็นการพบในบางจุด ไม่ใช่ทั้งส่วนของผนัง ถ้าไม่ใช่ความจงใจของทางโครงการ ก็คงเป็นเพราะความสะเพร่าของช่าง
เรื่องนี้ช่วยทำให้คนที่กำลังอยากเป็นเจ้าของคอนโดเริ่มต้องฉุกคิดถึงเรื่องของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ความถูกต้องและความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร มากกว่าที่จะดูกันแค่ ความสวยงาม หรือสิ่งอำนวยความสะดวก
7.ตามหาช้างกับเมเจอร์
เมื่อกลางปี 2556 มีคลิปที่ถูกกระหน่ำแชร์ในโลกออนไลน์ ถึงเหตุการณ์ที่ผู้จัดการโรงหนังเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โต้เถียงกับลูกค้าอย่างดุเดือดเรื่องการบริการ สิ่งที่ตามมาคือกระแสวิจารณ์ในทางลบต่อโรงหนัง จนเมเจอร์อยู่เฉยไม่ไหวต้องทำหนังสือชี้แจงบวกกับการลงโทษพนักงานของตัวเอง ล่าสุดหนังเรื่อง “ต้มยำกุ้ง 2” ถูกปรับขึ้นราคาค่าตั๋วอีก 20 บาทต่อที่นั่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า “หนังลงทุนสูงกว่า 500 ล้านบาท ด้วยเทคโนโลยีระดับฮอลลีวูด” จึงมีคนตั้งข้อหาว่าเอาเปรียบผู้บริโภคเกินไปหรือไม่ เพราะขนาดสหมงคลฟิล์มเจ้าหนัง ยังออกตัวว่าไม่มีเอี่ยวเรื่องการขึ้นราคาตั๋ว เมื่อลองสืบสวนหาสาเหตุ พบว่า เพราะมีโปรโมชั่นพิเศษ หากนำชิ้นส่วนฉลากมาม่ามาแสดงตอนซื้อตั๋วจะได้ลดราคาค่าตั๋วทันที 20 บาท คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่วิธีส่งเสริมการตลาดที่ทั้งเมเจอร์และมาม่าตั้งใจทำร่วมกัน
8.จุดเทียนถาม หาความเป็นธรรม
เรื่องเศร้าที่ไม่ควรจะเกิด เมื่อ 2 พี่น้องชาวพิษณุโลก คนพี่อายุ 13 ปี ส่วนคนน้องอายุ 9 ขวบ เสียชีวิตคากองเพลิง จากเทียนไขที่จุดทิ้งไว้ เนื่องจากที่บ้านถูกการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.พิษณุโลก ตัดไฟ เพราะไม่ได้จ่ายค่าไฟ เลยจำเป็นต้องจุดเทียนเพื่อส่องสว่างตอนทำการบ้าน แต่ไฟเกิดลุกไหม้บ้านจนเกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่สังคมจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กฟภ.ว่าใจดำไปหรือไม่ ที่ตัดไฟฟ้าคนยากคนจนแบบนี้ ทั้งที่ยอดค่าไฟที่ค้างอยู่ของครอบครัวนี้คือ 441 บาท 14 สตางค์เท่านั้น ขณะที่มีคนเปรียบเทียบว่าที่หน่วยงานราชการหลายแห่ง ค้างค่าไฟเป็นหลักล้านแต่ กฟภ. ไม่เห็นดำเนินการใดๆ ซึ่ง กฟภ.ทำได้แค่ออกมาแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และชี้แจงว่าการตัดไฟบ้านที่ค้างชำระค่าบริการ เจ้าหน้าที่ต้องทำไปตามหน้าที่
เรื่องนี้ปลุกให้ กฟภ.ตื่นตัว ลุกขึ้นมาปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนค้างจ่ายค่าไฟฟ้า โดยจะขยายเวลาก่อนที่จะดำเนินการตัดไฟ จากเดิม 7 วัน เพิ่มเป็น 2 เดือน เริ่มตั้งแต่การส่ง sms ให้ชำระค่าบริการไปยังโทรศัพท์มือถือ จากนั้นจะมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจาถึงบ้าน หากครบกำหนด 2 เดือนแล้วยังไม่มีการชำระค่าบริการจึงจะมีการดำเนินการตัดไฟ แถมยังมีแนวคิดยกเลิกเรื่องการตัดไฟแต่จะให้ผู้ใช้เลือกจ่ายเป็นดอกเบี้ยแทน แต่ก็ต้องศึกษาความเป็นไปได้ เพราะในความเป็นจริงหากผู้ใช้ไฟไม่สามารถชำระค่าไฟได้ แล้วจะมีกำลังพอที่จะชำระดอกเบี้ยได้หรือไม่ ต้องมีการพิจารณาหาความเหมาะสมกันต่อไป
ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 8 แสนรายที่มีปัญหาค้างค่าไฟ และในจำนวนนี้ 2 แสนรายมีโอกาสเสี่ยงที่จะต้องถูกตัดไฟ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวยากจนตามชนบท กฟภ. ต้องหามาตรการดูแลจัดการในเรื่องนี้ที่ไม่เป็นการทำร้ายและเอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำอีก
และ 9.เปิบข้าว
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับมูลนิธิชีววิถี จับมือซื้อข้าวถุงบรรจุ 5 กิโลกรัมไปทดสอบหาสารรมควันข้าว ชื่อเมทิลโบร์ไมด์ ว่ามี/ไม่มี เกิน/ไม่เกิน เพื่อหวังช่วยหาคำตอบให้กับสังคม จากนั้นจึงแถลงว่า ข้าวถุงที่นำไปทดสอบ พบว่ามีเมทิลโบร์ไมด์ ตั้งแต่ “ไม่มีเลย และมีน้อยมากไปจนถึงมากเกินมาตรฐาน” แต่มีการตีข่าวว่าทำไปเพื่อดิสเครดิต แต่สุดท้าย อย.ก็มีผลทดสอบตรงกับของมูลนิธิฯ ยืนยันว่า เป็นยี่ห้อเดียวกัน เมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมี เลยกลายเป็นแก้เกี้ยวว่า “เอาข้าวล้างน้ำเยอะหน่อย” ก่อนหุงเท่านี้ก็ปลอดภัย
1.ประสบการณ์เงือก
เป็นเรื่องราวที่สตาร์บัคส์ประกาศฟ้องร้านกาแฟรถพ่วง “สตาร์บัง” โทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้ารูปนางเงือกสองหาง ซึ่งโลโก้ของบังเป็นรูปบังโพกผ้า มือหนึ่งถือกระบวยน้ำร้อน อีกมือชูสองนิ้ว โดยนักการตลาดให้ความเห็นว่านี่เป็นการ “ล้อเลียน” มากกว่า “ลอกเลียน” แต่สตาร์บัคส์บอกว่าจำเป็นต้องฟ้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเรียกค่าเสียหาย 300,000 บาท และดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมถึงให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เนื่องจากเดิมทีจะใช้วิธีเจรจาและให้ความช่วยเหลือจนอีกฝ่ายยอมปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าให้แตกต่างจากสตาร์บัคส์ แต่สตาร์บังขัดขืน ทั้งนี้ คำตัดสินในคดีอาญาเรื่องนี้จะรู้ผลวันที่ 10 ก.พ. 2557
2.ขาวดีมีทุนให้!!?
บริษัท ยูนิลิเวอร์ ปล่อยแคมเปญโฆษณาครีมผิวขาวตัวใหม่ เมื่อ ต.ค.ที่ผ่านมา โดยจัดกิจกรรม “ซิตร้าค้นหาสาวใสเด้งวิ๊ง 3D” เพื่อตามล่าหานักศึกษาสาวผิวขาวใส โดยให้แต่งชุดนักศึกษา โพสท่าโชว์ผิวเด้ง 3 มิติ พร้อมถือซิตร้า เพิร์ลลี่ไวท์ ซีรัม หรือโลชั่น แล้วแชะรูปเต็มตัว ส่งมาที่ www….” โดยผู้ชนะจะได้รางวัลเป็นทุนการศึกษากว่า 100,000 บาท พร้อมโอกาสในการได้ร่วมถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร Cheeze จนเกิดการถกเถียงมากมาย เช่น คนผิวคล้ำไม่มีโอกาสเลยหรือ ขายครีมผิวขาวจะแจกรางวัลคนผิวคล้ำก็ไม่ตรงคอนเซ็ปต์ หรือเรียกรางวัลว่าทุนการศึกษาเพราะจะได้ไม่ต้องเสียภาษี เป็นต้น เรื่องนี้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ของอังกฤษและออสเตรเลียหลายฉบับ ซึ่งสุดท้ายบริษัทออกมาขอโทษว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องการเหยียดสีผิว จากนั้นจึงถอนแคมเปญนี้ออก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้นักศึกษาหรือวัยรุ่นทั่วไปได้เห็นความจริงว่า คนที่มาถ่ายรูปชิงรางวัลนั้นขาวอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผลิตภัณฑ์ที่ถืออยู่ในมือ
3.ขาขึ้น
เมื่อราคาแก๊สหุงต้ม ค่าไฟฟ้า และค่าทางด่วน พร้อมใจกันขึ้นราคาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา แม้กระทรวงพลังงานจะระบุว่า ราคาแก๊สหุงต้ม (แอลพีจี) ปรับขึ้นเพียงกิโลกรัมละ 50 สตางค์ต่อเดือน ไม่น่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนมากนัก และประกาศให้ความช่วยเหลือผู้เดือดร้อนกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยืนยันว่าส่งผลกระทบน้อยมาก เพราะก๊าซหุงต้ม 1 ถังใช้ประกอบอาหารได้ประมาณ 300 จาน การปรับขึ้นก๊าซเดือนละ 50 สตางค์/กก.ทำให้ต้นทุนราคาอาหารปรุงสำเร็จเพิ่มขึ้นจานละ 2-3 สตางค์เท่านั้น จึงขอความร่วมมือจากทางร้านไว้ ให้ช่วยตรึงราคาอาหารปรุงสำเร็จเอาไว้จนถึงสิ้นปี!!
4.รับรองซิมไม่ดับ
วันที่ 15 ก.ย.2556 บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู ย้ำหนักแน่นว่า ซิมไม่ดับแน่นอน เพราะ กสทช.อนุญาตให้ต่ออายุสัมปทานไปอีก 1 ปี ซึ่งการต่ออายุโดยงดประมูลเพื่อหารายใหม่นี้มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่าจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศและประชาชนเป็นมูลค่าสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท ทั้งนี้ กสทช.อ้างว่าไม่ต่ออายุไม่ได้ เพราะจะมีคนเกือบ 20 ล้านคนต้องถูกทอดทิ้ง จึงประกาศมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้น พร้อมอนุญาตให้ทรูครอบครองสัมปทานไปอีก 1 ปี และแถมท้ายด้วยการฟ้องหมิ่นประมาท อาจารย์เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ และนางสาวณัฎฐา โกมลวาทิน ที่ร่วมกันเผยแพร่ข่าวนี้ทางช่องไทยพีบีเอส
และหลังจากติดตามผลมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ของ กสทช.จากงานเสวนาเรื่อง “60 วัน ประกาศเยียวยา 1800 MHz ประชาชนได้อะไร” ยังพบว่า 3-4 ข้อห้าม ทั้งห้ามซิมดับ ห้ามขายเบอร์คลื่น 1800 อีก ห้ามโอนย้ายเลขหมายโดยไม่บอกผู้บริโภค ทรูก็จัดให้มีทุกข้อหลัง 15 กันยายน โดยเฉพาะห้ามโอนย้ายเลขหมายตามอำเภอใจ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ยังโดนกับตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น หาก กสทช.เตรียมการประมูลเอาไว้ล่วงหน้าก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในทุกคลื่นความถี่ นี่ก็แว่วเสียงจากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิด กสทช.บอกมาว่า ต่ออายุ 1800 ให้ทรูไป 1 ปี คงต้องต่อให้ เอไอเอส กับ ดีแทค ด้วย ไม่งั้นจะถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติ
5.ตกลงหมูหรือไก่
ตอนเดือนมีนาคม ฉลาดซื้อโดยคอลัมน์ซูมลงเรื่อง ฉลากเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวหมูย่าง ที่มันไม่ใช่หมูย่างล้วนๆ อย่างที่เข้าใจตามชื่อสินค้า แต่มีเนื้อไก่ผสมอยู่ด้วย พอมีคนเอาข้อมูลไปแชร์กันต่อ และหาข้อมูลเพิ่ม เลยกลายเป็นกระแส ผู้คนหันมาพลิกอ่านฉลากอาหารในร้านเซเว่นฯ และพบว่า อย่างเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริกหนุ่ม ปริมาณหมูกับไก่ พอฟัดพอเหวี่ยง หมู 10% ไก่ 9.9% ซึ่งผู้ผลิตอธิบายว่า เพื่อความอร่อยนั่น
ทั้งนี้ ฉลาดซื้อไปดูฉลากอาหารประเภทเดียวกันเพิ่มเติมอีกหลายยี่ห้อ พบว่า จริงอย่างซีพีว่า โดย ฉลาดซื้อสำรวจไป 76 ตัวอย่าง 46 ตัวอย่างฉลากไม่ไปกับชื่ออาหารเลย กุ้งทอดก็มีปลาผสม ไส้กรอกชีส ไม่มีชีสระบุในส่วนประกอบ เกี๊ยวปู ไม่บอกว่ามีปูเท่าไหร่ บอกแต่ว่า เนื้อสัตว์และแผ่นแป้ง ฯลฯ ความลำบากจะไม่เกิดกับคนที่กินอะไรก็ได้ แต่คนที่จำเป็นหรือมีข้อห้ามประจำตัว กินนี่ไม่ได้ นั่นไม่ได้ คงลำบากหน่อยนะ คงต้องอ่านฉลากกันดีๆ
6.โฟมในกำแพง
ใครจะไปคิดว่าคอนโดหรูเลิศอลังการ ราคาหลายล้าน จะใช้วัสดุที่ดูแล้วไม่น่าจะมีความแข็งแรงทนทานอย่าง “โฟม” มาทำผนังห้อง ซึ่งเรื่องเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของห้องชาวต่างชาติ ผู้อาศัยในคอนโด The Base park east สุขุมวิท 77 ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เรียกช่างมาทุบผนังห้องเพื่อดูว่าทำไมถึงมีน้ำรั่วซึมออกมา แต่กลับพบว่าผนังที่ควรก่อด้วยอิฐและซีเมนต์ กลายเป็นโฟมและแผ่นกระดาษที่ถูกสอดไว้อยู่ข้างใน จึงถ่ายภาพโฟมที่พบหลังจากการทุบผนัง ไปโพสต์ยังหน้าเฟซบุ๊กของแสนสิริ จึงเป้นประเด็นขึ้นมา สุดท้ายทางแสนสิริเจ้าของโครงการจึงต้องออกมายอมรับผิด โดยยอบรับว่าเป็นความบกพร่องของช่างผู้ทำงาน ที่อาจจะรีบร้อนให้งานเสร็จไวจึงใช้โฟมมาอุดผนังตรงบริเวณเต้ารับไฟฟ้าที่ติดอยู่ตรงผนัง ขนาดประมาณ 30 x 20 ซม. แต่ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร ตรงกับทางวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ที่ออกมาให้ความเห็นว่า โฟมที่พบเป็นการพบในบางจุด ไม่ใช่ทั้งส่วนของผนัง ถ้าไม่ใช่ความจงใจของทางโครงการ ก็คงเป็นเพราะความสะเพร่าของช่าง
เรื่องนี้ช่วยทำให้คนที่กำลังอยากเป็นเจ้าของคอนโดเริ่มต้องฉุกคิดถึงเรื่องของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ความถูกต้องและความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร มากกว่าที่จะดูกันแค่ ความสวยงาม หรือสิ่งอำนวยความสะดวก
7.ตามหาช้างกับเมเจอร์
เมื่อกลางปี 2556 มีคลิปที่ถูกกระหน่ำแชร์ในโลกออนไลน์ ถึงเหตุการณ์ที่ผู้จัดการโรงหนังเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โต้เถียงกับลูกค้าอย่างดุเดือดเรื่องการบริการ สิ่งที่ตามมาคือกระแสวิจารณ์ในทางลบต่อโรงหนัง จนเมเจอร์อยู่เฉยไม่ไหวต้องทำหนังสือชี้แจงบวกกับการลงโทษพนักงานของตัวเอง ล่าสุดหนังเรื่อง “ต้มยำกุ้ง 2” ถูกปรับขึ้นราคาค่าตั๋วอีก 20 บาทต่อที่นั่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า “หนังลงทุนสูงกว่า 500 ล้านบาท ด้วยเทคโนโลยีระดับฮอลลีวูด” จึงมีคนตั้งข้อหาว่าเอาเปรียบผู้บริโภคเกินไปหรือไม่ เพราะขนาดสหมงคลฟิล์มเจ้าหนัง ยังออกตัวว่าไม่มีเอี่ยวเรื่องการขึ้นราคาตั๋ว เมื่อลองสืบสวนหาสาเหตุ พบว่า เพราะมีโปรโมชั่นพิเศษ หากนำชิ้นส่วนฉลากมาม่ามาแสดงตอนซื้อตั๋วจะได้ลดราคาค่าตั๋วทันที 20 บาท คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่วิธีส่งเสริมการตลาดที่ทั้งเมเจอร์และมาม่าตั้งใจทำร่วมกัน
8.จุดเทียนถาม หาความเป็นธรรม
เรื่องเศร้าที่ไม่ควรจะเกิด เมื่อ 2 พี่น้องชาวพิษณุโลก คนพี่อายุ 13 ปี ส่วนคนน้องอายุ 9 ขวบ เสียชีวิตคากองเพลิง จากเทียนไขที่จุดทิ้งไว้ เนื่องจากที่บ้านถูกการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.พิษณุโลก ตัดไฟ เพราะไม่ได้จ่ายค่าไฟ เลยจำเป็นต้องจุดเทียนเพื่อส่องสว่างตอนทำการบ้าน แต่ไฟเกิดลุกไหม้บ้านจนเกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่สังคมจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กฟภ.ว่าใจดำไปหรือไม่ ที่ตัดไฟฟ้าคนยากคนจนแบบนี้ ทั้งที่ยอดค่าไฟที่ค้างอยู่ของครอบครัวนี้คือ 441 บาท 14 สตางค์เท่านั้น ขณะที่มีคนเปรียบเทียบว่าที่หน่วยงานราชการหลายแห่ง ค้างค่าไฟเป็นหลักล้านแต่ กฟภ. ไม่เห็นดำเนินการใดๆ ซึ่ง กฟภ.ทำได้แค่ออกมาแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และชี้แจงว่าการตัดไฟบ้านที่ค้างชำระค่าบริการ เจ้าหน้าที่ต้องทำไปตามหน้าที่
เรื่องนี้ปลุกให้ กฟภ.ตื่นตัว ลุกขึ้นมาปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนค้างจ่ายค่าไฟฟ้า โดยจะขยายเวลาก่อนที่จะดำเนินการตัดไฟ จากเดิม 7 วัน เพิ่มเป็น 2 เดือน เริ่มตั้งแต่การส่ง sms ให้ชำระค่าบริการไปยังโทรศัพท์มือถือ จากนั้นจะมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจาถึงบ้าน หากครบกำหนด 2 เดือนแล้วยังไม่มีการชำระค่าบริการจึงจะมีการดำเนินการตัดไฟ แถมยังมีแนวคิดยกเลิกเรื่องการตัดไฟแต่จะให้ผู้ใช้เลือกจ่ายเป็นดอกเบี้ยแทน แต่ก็ต้องศึกษาความเป็นไปได้ เพราะในความเป็นจริงหากผู้ใช้ไฟไม่สามารถชำระค่าไฟได้ แล้วจะมีกำลังพอที่จะชำระดอกเบี้ยได้หรือไม่ ต้องมีการพิจารณาหาความเหมาะสมกันต่อไป
ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 8 แสนรายที่มีปัญหาค้างค่าไฟ และในจำนวนนี้ 2 แสนรายมีโอกาสเสี่ยงที่จะต้องถูกตัดไฟ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวยากจนตามชนบท กฟภ. ต้องหามาตรการดูแลจัดการในเรื่องนี้ที่ไม่เป็นการทำร้ายและเอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำอีก
และ 9.เปิบข้าว
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับมูลนิธิชีววิถี จับมือซื้อข้าวถุงบรรจุ 5 กิโลกรัมไปทดสอบหาสารรมควันข้าว ชื่อเมทิลโบร์ไมด์ ว่ามี/ไม่มี เกิน/ไม่เกิน เพื่อหวังช่วยหาคำตอบให้กับสังคม จากนั้นจึงแถลงว่า ข้าวถุงที่นำไปทดสอบ พบว่ามีเมทิลโบร์ไมด์ ตั้งแต่ “ไม่มีเลย และมีน้อยมากไปจนถึงมากเกินมาตรฐาน” แต่มีการตีข่าวว่าทำไปเพื่อดิสเครดิต แต่สุดท้าย อย.ก็มีผลทดสอบตรงกับของมูลนิธิฯ ยืนยันว่า เป็นยี่ห้อเดียวกัน เมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมี เลยกลายเป็นแก้เกี้ยวว่า “เอาข้าวล้างน้ำเยอะหน่อย” ก่อนหุงเท่านี้ก็ปลอดภัย