จะเพราะคิดว่าใช้ง่าย หายเร็ว หรืออะไรก็ตามที แต่การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา ก็เป็นสิ่งที่ดูเหมือนธรรมดาสามัญในทุกวันนี้ อย่างไรก็ดี จากข้อมูลทางการแพทย์ ระบุว่า การใช้ยาปฏิชีวนะแบบพร่ำเพรื่อ อาจส่งผลร้ายถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ยาชนิดนี้ในผู้ป่วยเด็ก
จากข้อมูลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จากการติดตามผลการรักษาอาการผู้ป่วยเด็กที่มีอาการไข้หวัด เจ็บคอ ซึ่งมักเป็นบ่อยในเด็กอายุ 2-5 ปี พบว่ามีการรับประทานยามากเกินไป โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ทั้งที่ยาเหล่านั้นไม่สามารถรักษาอาการเจ็บคออันเกิดจากการติดเชื้อไวรัสได้
การเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าทำให้สามารถรักษาอาการอักเสบได้ทุกชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กมีความเสี่ยงต่อการแพ้ยา และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็กได้อีกด้วย
และที่สำคัญ อาจเหนี่ยวนำให้เด็กเกิดการดื้อยา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กในระยะยาว และอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ทั้งนี้ จากการศึกษาผู้ป่วยเด็กที่เป็นไข้หวัดเจ็บคอ ด้วยการรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวเมื่อตัวร้อนโดยไม่จ่ายยาปฏิชีวนะ พบว่าผู้ป่วยเด็ก 91.5 เปอร์เซ็นต์ มีอาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติ
พญ.ศรีศุภลักษณ์ สิงคาลวณิช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคผิวหนัง สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือ รพ.เด็ก ระบุถึงการใช้ยาปฏิชีวนะแบบไม่ถูกต้อง หรือผลพวงอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ยาประเภทนี้ไว้ 3 ชนิด ดังต่อไปนี้
“1.ถ้าใช้เกินความจำเป็น ก็จะทำให้เกิดการดื้อยาได้ง่าย 2.การแพ้ยา ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นทุกคน 3.เป็นการเสียค่ารักษาโดยไม่จำเป็น”
จากข้อมูลผลสำรวจขององสถาบันสุขภาพเด็กซึ่งมีการศึกษาเรื่องไข้หวัด เรื่องท้องเสียในผู้ป่วยเด็ก พบว่า ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้ยาปฏิชีวนะ และแทบทั้งหมดจะสามารถหายเองได้ด้วยการรักษาตามอาการ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และจากผลสำรวจดังกล่าวก็ระบุชัดเจนว่า สารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือมีผื่น อันดับแรกเลยก็คือ ยาปฏิชีวนะ มากกว่ายาลดความดันหรือยารักษาโรคหัวใจ บางรายหนักถึงขั้นแพ้จนหน้าลอกเป็นแผลพุพองหรือตาบอดไปเลยก็มี
กระนั้นก็ดี พญ.ศรีศุภลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งหมดที่กล่าวมา หมายถึงโรคที่เกิดจากไวรัสเท่านั้น เพราะโรคบางโรค หากเกิดจากเชื้อแบ็คทีเรียซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถใช้ได้
ดังนั้น ก่อนจะใช้ยาปฏิชีวนะครั้งต่อไป จึงควรใส่ใจให้มาก และคำนึงถึงผลลัพธ์ผลร้ายที่อาจจะตามมาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วย พญ.ศรีศุภลักษณ์ กล่าว
ขอบคุณข้อมูล : รายการ “Health Line สายตรงสุขภาพ” รายการที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 7.00-8.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ www.manager.co.th/vdo
จากข้อมูลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จากการติดตามผลการรักษาอาการผู้ป่วยเด็กที่มีอาการไข้หวัด เจ็บคอ ซึ่งมักเป็นบ่อยในเด็กอายุ 2-5 ปี พบว่ามีการรับประทานยามากเกินไป โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ทั้งที่ยาเหล่านั้นไม่สามารถรักษาอาการเจ็บคออันเกิดจากการติดเชื้อไวรัสได้
การเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าทำให้สามารถรักษาอาการอักเสบได้ทุกชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กมีความเสี่ยงต่อการแพ้ยา และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็กได้อีกด้วย
และที่สำคัญ อาจเหนี่ยวนำให้เด็กเกิดการดื้อยา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กในระยะยาว และอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ทั้งนี้ จากการศึกษาผู้ป่วยเด็กที่เป็นไข้หวัดเจ็บคอ ด้วยการรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวเมื่อตัวร้อนโดยไม่จ่ายยาปฏิชีวนะ พบว่าผู้ป่วยเด็ก 91.5 เปอร์เซ็นต์ มีอาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติ
พญ.ศรีศุภลักษณ์ สิงคาลวณิช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคผิวหนัง สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือ รพ.เด็ก ระบุถึงการใช้ยาปฏิชีวนะแบบไม่ถูกต้อง หรือผลพวงอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ยาประเภทนี้ไว้ 3 ชนิด ดังต่อไปนี้
“1.ถ้าใช้เกินความจำเป็น ก็จะทำให้เกิดการดื้อยาได้ง่าย 2.การแพ้ยา ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นทุกคน 3.เป็นการเสียค่ารักษาโดยไม่จำเป็น”
จากข้อมูลผลสำรวจขององสถาบันสุขภาพเด็กซึ่งมีการศึกษาเรื่องไข้หวัด เรื่องท้องเสียในผู้ป่วยเด็ก พบว่า ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้ยาปฏิชีวนะ และแทบทั้งหมดจะสามารถหายเองได้ด้วยการรักษาตามอาการ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และจากผลสำรวจดังกล่าวก็ระบุชัดเจนว่า สารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือมีผื่น อันดับแรกเลยก็คือ ยาปฏิชีวนะ มากกว่ายาลดความดันหรือยารักษาโรคหัวใจ บางรายหนักถึงขั้นแพ้จนหน้าลอกเป็นแผลพุพองหรือตาบอดไปเลยก็มี
กระนั้นก็ดี พญ.ศรีศุภลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งหมดที่กล่าวมา หมายถึงโรคที่เกิดจากไวรัสเท่านั้น เพราะโรคบางโรค หากเกิดจากเชื้อแบ็คทีเรียซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถใช้ได้
ดังนั้น ก่อนจะใช้ยาปฏิชีวนะครั้งต่อไป จึงควรใส่ใจให้มาก และคำนึงถึงผลลัพธ์ผลร้ายที่อาจจะตามมาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วย พญ.ศรีศุภลักษณ์ กล่าว
ขอบคุณข้อมูล : รายการ “Health Line สายตรงสุขภาพ” รายการที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 7.00-8.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ www.manager.co.th/vdo