อึ้ง! เด็กไทยอ้วนเพราะได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 ขวบ กุมารแพทย์ยันมีผลวิจัยชี้ชัด จี้ให้ความรู้ผู้ปกครอง ไม่เรียกร้องขอแต่ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ ระบุอาจทำให้เด็กเป็นภูมิแพ้ หอบหืด เพราะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียนชนิดดีในร่างกาย
รศ.พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ กุมารแพทย์ประจำสถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กล่าวว่า เด็กทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะโรคอ้วน ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ปัจจัยหนึ่งที่สัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนในเด็ก เกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 ขวบ เนื่องจากมีการวิจัยที่ชัดเจนในสมัยก่อนว่า มีการนำยาปฏิชีวนะมาใช้ในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของสัตว์ในฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งพบว่าพอสัตว์กินยาปฏิชีวนะเข้าไปสัตว์ก็จะดูอ้วนขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาในหนูพบว่า หนูที่สัมผัสกับยาปฏิชีวนะแล้วใช้เครื่องสแกนไขมันในชั้นใต้ผิวหนังพบว่า หนูที่ได้รับยาปฏิชีวนะมีระดับไขมันมากกว่าหนูที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นงานวิจัยของต่างประเทศ
รศ.พญ.วารุณี กล่าวอีกว่า โดยปกติแล้วร่างกายของคนเรามีส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก เมื่อลองทำการวิจัยในระดับยีนเพื่อหาว่ายีนของคนอ้วนและคนผอมมียีนของเชื้อแบคทีเรียที่แตกต่างกันอย่างไร พบว่า มีความต่างกันมาก ซึ่งแบคทีเรียที่พบก็มีผลต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งจากการวิจัยดังกล่าว ประเทศไทยจึงควรมีความตระหนัก รวมถึงนำข้อมูลดังกล่าวมาเผยแพร่ เพื่อให้ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับผลกระทบของการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นและมีบรรทัดฐานเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะใหม่ เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่เมื่อพาบุตรมารักษามักจะคาดหวังและขอยาปฏิชีวนะจากแพทย์
"ยาปฏิชีวนะมีผลทั้งในระยะยาวและระยะสั้น โดยระยะสั้นจะมีผลกับทุกช่วงอายุ เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะจะทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ส่วนในระยะยาวนอกจากเด็กจะมีภาวะอ้วนแล้วยังอาจจะมีผลทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ และหอบหืดได้ เพราะการที่เรารับประทานยาปฏิชีวนะก็เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายเชื้อแบคทีเรียชนิดดีในร่างกาย ทำให้เกิดผลเสียตามมา เห็นง่ายๆ คือ กรณีของผู้ใหญ่หากใช้ยาปฏิชีวนะมากๆ ก็จะทำให้ร่างกายเกิดเชื้อดื้อยา ซึ่งทำให้ยามีราคาแพงและเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น” รศ.พญ.วารุณี กล่าว
รศ.พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ กุมารแพทย์ประจำสถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กล่าวว่า เด็กทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะโรคอ้วน ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ปัจจัยหนึ่งที่สัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนในเด็ก เกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 ขวบ เนื่องจากมีการวิจัยที่ชัดเจนในสมัยก่อนว่า มีการนำยาปฏิชีวนะมาใช้ในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของสัตว์ในฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งพบว่าพอสัตว์กินยาปฏิชีวนะเข้าไปสัตว์ก็จะดูอ้วนขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาในหนูพบว่า หนูที่สัมผัสกับยาปฏิชีวนะแล้วใช้เครื่องสแกนไขมันในชั้นใต้ผิวหนังพบว่า หนูที่ได้รับยาปฏิชีวนะมีระดับไขมันมากกว่าหนูที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นงานวิจัยของต่างประเทศ
รศ.พญ.วารุณี กล่าวอีกว่า โดยปกติแล้วร่างกายของคนเรามีส่วนประกอบของเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก เมื่อลองทำการวิจัยในระดับยีนเพื่อหาว่ายีนของคนอ้วนและคนผอมมียีนของเชื้อแบคทีเรียที่แตกต่างกันอย่างไร พบว่า มีความต่างกันมาก ซึ่งแบคทีเรียที่พบก็มีผลต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งจากการวิจัยดังกล่าว ประเทศไทยจึงควรมีความตระหนัก รวมถึงนำข้อมูลดังกล่าวมาเผยแพร่ เพื่อให้ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับผลกระทบของการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นและมีบรรทัดฐานเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะใหม่ เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่เมื่อพาบุตรมารักษามักจะคาดหวังและขอยาปฏิชีวนะจากแพทย์
"ยาปฏิชีวนะมีผลทั้งในระยะยาวและระยะสั้น โดยระยะสั้นจะมีผลกับทุกช่วงอายุ เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะจะทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ส่วนในระยะยาวนอกจากเด็กจะมีภาวะอ้วนแล้วยังอาจจะมีผลทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ และหอบหืดได้ เพราะการที่เรารับประทานยาปฏิชีวนะก็เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายเชื้อแบคทีเรียชนิดดีในร่างกาย ทำให้เกิดผลเสียตามมา เห็นง่ายๆ คือ กรณีของผู้ใหญ่หากใช้ยาปฏิชีวนะมากๆ ก็จะทำให้ร่างกายเกิดเชื้อดื้อยา ซึ่งทำให้ยามีราคาแพงและเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น” รศ.พญ.วารุณี กล่าว
