กกจ.หารือทูตสวีเดนถึงมาตรการดูแลแรงงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ ระบุยังไม่ตอบรับมาตรการป้องกันของไทยในการจำกัดวีซ่า แนะแรงงานไม่มีประสบการณ์ไม่ควรไป เหตุเก็บผลไม้ไม่ได้ตามที่ผู้รับซื้อต้องการ จนเกิดการประท้วงบ่อยครั้ง
วันนี้ (21 ต.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดเผย ผลการหารือ กับเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ถึงมาตรการดูแลแรงงานไทย ที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าตระกูลเบอร์รี่ในประเทศสวีเดน และประสบปัญหาผลไม้ล้นตลาดจนราคาตกต่ำ ว่า เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ไม่ตอบรับมาตรการป้องกันของไทยในการจำกัดการออกวีซ่าอนุญาตให้แรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดน เนื่องจากประเทศสวีเดนมองว่าเป็นสิทธิตามประชาธิปไตยที่ใครก็สามารถเดินทางไปเก็บได้ ดังนั้นกรมการจัดหางานจึงต้องเปลี่ยนการเจรจากับรัฐบาล เป็นหารือกับบริษัทผู้รับซื้อผลไม้ในสวีเดน ว่ามีความต้องการที่จะซื้อผลไม้ป่าจำนวนเท่าใด ในปริมาณเท่าใดเพื่อที่ กกจ.จะได้มาคำนวณว่าจะอนุญาตให้แรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้จำนวนเท่าใด เพื่อป้องกันปัญหาไม่คุ้มค่าในการเสียค่าใช้จ่ายเดินทาง โดยได้สั่งการให้ นายสิงหเดช ชูอำนาจ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมการจัดหางงาน เดินทางไปเจรจา ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ จึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากขณะนี้ในประเทศสวีเดนอยู่ระหว่างการยื่นขอโควตาการออกวีซ่าให้กับแรงงานต่างชาติที่จะไปเก็บผลไม้ป่าในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2557 ทั้งนี้ไม่แนะนำแรงงานใหม่ที่ไม่เคยไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดน เดินทางไปเพราะจะเก็บไม่ได้ตามจำนวนที่ผู้รับซื้อต้องการ จนเกิดการประท้วงบ่อยครั้ง
“ปัญหาของแรงงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ มีให้พบอยู่ทุกปี เนื่องจากกฎหมายของสวีเดนไม่เอื้อต่อการดูแลแรงงานต่างชาติ จึงไม่มีการจ้างงานโดยตรงกับบริษัทในสวีเดน เพราะหากแรงงานต่างชาติอยากได้รับการคุ้มครองในสวีเดน ต้องเสียภาษีกว่าร้อยละ 50 ของอัตราเงินเดือน จึงจะได้รับการดูแล” นายประวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ นายประวิทย์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทย 250 คน ที่ไปเก็บผลไม้ป่าทในประเทศสวีเดน และยังได้รับค่าจ้างไม่ครบ ว่า ขณะนี้กรมการจัดหางานได้ร่วมกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในการให้ความช่วยเหลือ ในการยื่นฟ้องบริษัทนายจ้างที่พาแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่า กับศาลแรงงานกลางพิจารณาให้จ่ายค่าจ้างค้างจ่ายคืนให้กับคนงาน รวมไปถึงค่าบริการที่เรียกเก็บเกินความเป็นจริง จาก 78,000 บาท เป็น 95,000 บาท ที่แรงงานยังติดใจว่ามีการเรียกเก็บเงินเกิน ดังนั้นหากนายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าจ้างที่ค้างจ่าย และเงินที่เรียกเก็บเกินกับคนงาน กกจ.จะดำเนินการฟ้องทางแพ่งกับบริษัทนายจ้างต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบริษัทที่จัดส่งแรงงานไปเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดนและฟินแลนด์อยู่จำนวน 9 บริษัท ในปีที่ผ่านมามีการจัดส่งคนงานรวม 4,500 คน แต่ในปีนี้ (2556) มีการส่งคนงานไป 6,100 คน ซึ่งเกินความต้องการ ดังนั้นจึงประเมินว่าในปี 57 หากจะอนุญาตให้แรงงานไทยไปสวีเดนต้องไม่เกิน 4,500 คน
“สาเหตุที่ไม่สามารถตัดสิทธิ์การจัดส่งของบริษัททั้ง 9 แห่งที่นำคนงานไปเก็บผลไม้ในประเทศสวีเดนได้ เนื่องจากปีที่ผ่านมาคดีการฟ้องร้องระหว่างคนงานกับบริษัทที่จ้างแรงงานไปเก็บผลไม้นั้น บริษัทเป็นฝ่ายชนะคดี จึงทำให้กรมการจัดหางานไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนได้” นายประวิทย์ กล่าว
วันนี้ (21 ต.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดเผย ผลการหารือ กับเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ถึงมาตรการดูแลแรงงานไทย ที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าตระกูลเบอร์รี่ในประเทศสวีเดน และประสบปัญหาผลไม้ล้นตลาดจนราคาตกต่ำ ว่า เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ไม่ตอบรับมาตรการป้องกันของไทยในการจำกัดการออกวีซ่าอนุญาตให้แรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดน เนื่องจากประเทศสวีเดนมองว่าเป็นสิทธิตามประชาธิปไตยที่ใครก็สามารถเดินทางไปเก็บได้ ดังนั้นกรมการจัดหางานจึงต้องเปลี่ยนการเจรจากับรัฐบาล เป็นหารือกับบริษัทผู้รับซื้อผลไม้ในสวีเดน ว่ามีความต้องการที่จะซื้อผลไม้ป่าจำนวนเท่าใด ในปริมาณเท่าใดเพื่อที่ กกจ.จะได้มาคำนวณว่าจะอนุญาตให้แรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้จำนวนเท่าใด เพื่อป้องกันปัญหาไม่คุ้มค่าในการเสียค่าใช้จ่ายเดินทาง โดยได้สั่งการให้ นายสิงหเดช ชูอำนาจ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมการจัดหางงาน เดินทางไปเจรจา ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ จึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากขณะนี้ในประเทศสวีเดนอยู่ระหว่างการยื่นขอโควตาการออกวีซ่าให้กับแรงงานต่างชาติที่จะไปเก็บผลไม้ป่าในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2557 ทั้งนี้ไม่แนะนำแรงงานใหม่ที่ไม่เคยไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดน เดินทางไปเพราะจะเก็บไม่ได้ตามจำนวนที่ผู้รับซื้อต้องการ จนเกิดการประท้วงบ่อยครั้ง
“ปัญหาของแรงงานไทยที่ไปเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ มีให้พบอยู่ทุกปี เนื่องจากกฎหมายของสวีเดนไม่เอื้อต่อการดูแลแรงงานต่างชาติ จึงไม่มีการจ้างงานโดยตรงกับบริษัทในสวีเดน เพราะหากแรงงานต่างชาติอยากได้รับการคุ้มครองในสวีเดน ต้องเสียภาษีกว่าร้อยละ 50 ของอัตราเงินเดือน จึงจะได้รับการดูแล” นายประวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ นายประวิทย์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทย 250 คน ที่ไปเก็บผลไม้ป่าทในประเทศสวีเดน และยังได้รับค่าจ้างไม่ครบ ว่า ขณะนี้กรมการจัดหางานได้ร่วมกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในการให้ความช่วยเหลือ ในการยื่นฟ้องบริษัทนายจ้างที่พาแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่า กับศาลแรงงานกลางพิจารณาให้จ่ายค่าจ้างค้างจ่ายคืนให้กับคนงาน รวมไปถึงค่าบริการที่เรียกเก็บเกินความเป็นจริง จาก 78,000 บาท เป็น 95,000 บาท ที่แรงงานยังติดใจว่ามีการเรียกเก็บเงินเกิน ดังนั้นหากนายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าจ้างที่ค้างจ่าย และเงินที่เรียกเก็บเกินกับคนงาน กกจ.จะดำเนินการฟ้องทางแพ่งกับบริษัทนายจ้างต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบริษัทที่จัดส่งแรงงานไปเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดนและฟินแลนด์อยู่จำนวน 9 บริษัท ในปีที่ผ่านมามีการจัดส่งคนงานรวม 4,500 คน แต่ในปีนี้ (2556) มีการส่งคนงานไป 6,100 คน ซึ่งเกินความต้องการ ดังนั้นจึงประเมินว่าในปี 57 หากจะอนุญาตให้แรงงานไทยไปสวีเดนต้องไม่เกิน 4,500 คน
“สาเหตุที่ไม่สามารถตัดสิทธิ์การจัดส่งของบริษัททั้ง 9 แห่งที่นำคนงานไปเก็บผลไม้ในประเทศสวีเดนได้ เนื่องจากปีที่ผ่านมาคดีการฟ้องร้องระหว่างคนงานกับบริษัทที่จ้างแรงงานไปเก็บผลไม้นั้น บริษัทเป็นฝ่ายชนะคดี จึงทำให้กรมการจัดหางานไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนได้” นายประวิทย์ กล่าว
