กทม.จับมือยูเอ็นเอดส์หวังลดจำนวนผู้ป่วย เผยตรวจสอบยากเหตุมีประชากรแฝง กรุงเทพฯมีผู้ติดเชื้อกว่า 5 หมื่นราย เพื่มขึ้น 2,300 รายต่อปี พบกลุ่มชายรักชายติดเชื้อมากสุด
วันนี้ (3ต.ค.) นางผสุดี ตามไท กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับองค์การยูเอ็นเอดส์ ว่าทาง กทม.ได้หาแนวทางในการรณรงค์เอดส์ให้เป็นศูนย์ในระยะ 20 ปี คือไม่มีผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่เพิ่ม ไม่มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ไม่มีการเลือกปฏิบัติกับผู้ที่ติดเชื้อ โดยจะมีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันอย่างหลากหลายองค์กร อาทิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภาคเอกชน องค์กรทางสังคม และภาคประชาชน เพื่อควบคุมและลดปริมาณผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เนื่องจากปัจจุบันในกรุงเทพมหานครมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) จำนวนกว่าร้อยละ 27 ของผู้ป่วยทั้งประเทศ อีกทั้งกรุงเทพฯยังเป็นเมืองที่ยากแก่การตรวจสอบ เนื่องจากว่าเป็นเมืองที่มีประชากรแฝงและต่างด้าวมาก ทำให้ยากแก่การคัดกรองโรค สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ กลุ่มชายรักชาย กลุ่มผู้ค้าประเวณี ผู้มั่วสุมยาเสพติด เหล่านี้ควรจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองโรค ซึ่งจะต้องทำการตรวจทุกปี ทั้งนี้ กทม.มีแนวทางควบคุมและลดจำนวนผู้ป่วยด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนตั้งแต่วัยเด็กด้วยการสร้างความเข้าใจและหล่อหลอมทัศนคติในการดำรงชีวิต และการป้องกันโรค
นางผุสดี กล่าวต่อว่า ตนได้มอบหมายให้สำนักอนามัยไปศึกษาแนวทางในการทำงานร่วมกับยูเอ็นเอดส์จากเอกสารที่ทางสำนักอนามัยได้จัดทำแนวทางในการดูแล ปี พ.ศ.2555-2559 โดยจะต้องดูว่าเนื้อหาส่วนใดบ้างที่ต้องปรับปรุง และตัดออก อย่างไรก็ตาม กทม.เองจะต้องมีการตกผลึกแนวทางให้ชัดเจนก่อนที่จะนำเข้าที่ประชุมร่วมกับยูเอนเอดส์อีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์
ด้าน นางสาวปิยธิดา สมุทระประภูติ ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวว่า สถานการณ์เอดส์ในกรุงเทพฯพบว่ามีผู้ติดเชื้อ HIV ประมาณอยู่ที่ 52,995 ราย โดยแต่ละปีจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ประมาณการจำนวน 2,300 ราย โดยการติดเชื้อส่วนใหญ่จะพบจากการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนั้นจะเป็นการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และติดเชื้อจากแม่สู่ลูก สำหรับผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นเพศชายและอยู่ในวัยทำงานอายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯจะพบผู้ติดเชื้อในจากการมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มชายรักชายมากที่สุด ทั้งนี้หากผู้ติดเชื้อรู้ตัวและได้รับยาต้านไวรัสเร็วก็จะสามารถควบคุมเชื้อไม่ให้ลุกลาม และร่างกายจะไม่ทรุดโทรม ทั้งนี้สำนักอนามัยมีแนวทางสร้างความตระหนักในการควบคุมโรคด้วยการสร้างความเข้าใจให้ประชาชน ในการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีภาวะเสี่ยง ซึ่งจะต้องมีการรณรงค์ต่อไปถึงการใช้ถุงยางอนามัยซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันโรคในขั้นแรก
วันนี้ (3ต.ค.) นางผสุดี ตามไท กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับองค์การยูเอ็นเอดส์ ว่าทาง กทม.ได้หาแนวทางในการรณรงค์เอดส์ให้เป็นศูนย์ในระยะ 20 ปี คือไม่มีผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่เพิ่ม ไม่มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ไม่มีการเลือกปฏิบัติกับผู้ที่ติดเชื้อ โดยจะมีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันอย่างหลากหลายองค์กร อาทิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภาคเอกชน องค์กรทางสังคม และภาคประชาชน เพื่อควบคุมและลดปริมาณผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เนื่องจากปัจจุบันในกรุงเทพมหานครมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) จำนวนกว่าร้อยละ 27 ของผู้ป่วยทั้งประเทศ อีกทั้งกรุงเทพฯยังเป็นเมืองที่ยากแก่การตรวจสอบ เนื่องจากว่าเป็นเมืองที่มีประชากรแฝงและต่างด้าวมาก ทำให้ยากแก่การคัดกรองโรค สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ กลุ่มชายรักชาย กลุ่มผู้ค้าประเวณี ผู้มั่วสุมยาเสพติด เหล่านี้ควรจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองโรค ซึ่งจะต้องทำการตรวจทุกปี ทั้งนี้ กทม.มีแนวทางควบคุมและลดจำนวนผู้ป่วยด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนตั้งแต่วัยเด็กด้วยการสร้างความเข้าใจและหล่อหลอมทัศนคติในการดำรงชีวิต และการป้องกันโรค
นางผุสดี กล่าวต่อว่า ตนได้มอบหมายให้สำนักอนามัยไปศึกษาแนวทางในการทำงานร่วมกับยูเอ็นเอดส์จากเอกสารที่ทางสำนักอนามัยได้จัดทำแนวทางในการดูแล ปี พ.ศ.2555-2559 โดยจะต้องดูว่าเนื้อหาส่วนใดบ้างที่ต้องปรับปรุง และตัดออก อย่างไรก็ตาม กทม.เองจะต้องมีการตกผลึกแนวทางให้ชัดเจนก่อนที่จะนำเข้าที่ประชุมร่วมกับยูเอนเอดส์อีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์
ด้าน นางสาวปิยธิดา สมุทระประภูติ ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวว่า สถานการณ์เอดส์ในกรุงเทพฯพบว่ามีผู้ติดเชื้อ HIV ประมาณอยู่ที่ 52,995 ราย โดยแต่ละปีจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ประมาณการจำนวน 2,300 ราย โดยการติดเชื้อส่วนใหญ่จะพบจากการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนั้นจะเป็นการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และติดเชื้อจากแม่สู่ลูก สำหรับผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นเพศชายและอยู่ในวัยทำงานอายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯจะพบผู้ติดเชื้อในจากการมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มชายรักชายมากที่สุด ทั้งนี้หากผู้ติดเชื้อรู้ตัวและได้รับยาต้านไวรัสเร็วก็จะสามารถควบคุมเชื้อไม่ให้ลุกลาม และร่างกายจะไม่ทรุดโทรม ทั้งนี้สำนักอนามัยมีแนวทางสร้างความตระหนักในการควบคุมโรคด้วยการสร้างความเข้าใจให้ประชาชน ในการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีภาวะเสี่ยง ซึ่งจะต้องมีการรณรงค์ต่อไปถึงการใช้ถุงยางอนามัยซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันโรคในขั้นแรก