ผู้ป่วยประกันสังคมติดเชื้อเสียชีวิตคาโรงพยาบาล 2 ปีรวม 341 ราย เหตุยังไม่มีการใช้เทคโนโลยีโอโซนในสถานพยาบาล กมธ.วิทยาศาสตร์ฯ เล็งจัดเสวนาให้ความรู้ หวังระบบโอโซนเป็นทางเลือกใหม่ เชื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประกันสังคม และลดการติดเชื้อใน รพ.
คณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่มีนายประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานคณะกรรมาธิการ มีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องการใช้เทคโนโลยีโอโซนเพื่อปรับปรุงคุณภาพการรักษาพยาบาลในหออภิบาลผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยนอก โดยมีการเชิญหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เลขาธิการสำนักประกันสังคม ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ซึ่งที่ประชุมได้มีการอ้างถึงข้อมูลสถิติการรักษาและเสียชีวิตกรณีติดเชื้อในโรงพยาบาล โดยพบว่า ตั้งแต่ปี 2553-2555 มีผู้ป่วยประกันสังคมเสียชีวิตจากกรณีนี้ถึง 341 ราย โดยเทคโนโลยีโอโซนถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่พบว่ามีการใช้ในสถานพยาบาลระบบประกันสังคมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ทั้งนี้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ทางกรรมาธิการจะมีการจัดเสวนาเพื่อให้ข้อมูลในเรื่องนี้กับประชาชนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่เข้ารับบริการในสถานพยาบาลในอนาคตด้วย
ด้าน นายประเสริฐ เปิดเผยหลังการประชุมว่า คณะกรรมาธิการพิจารณาเรื่องนี้ติดต่อกันถึง 3 ครั้งแล้ว เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นความรู้ใหม่ จากประสบการณ์ส่วนตัวตนเห็นว่า มีผู้ป่วยผ่าตัดหรือเข้ารับการบริการในสถานพยาบาลแต่สุดท้ายกลับเสียชีวิตด้วยสาเหตุของการติดเชื้อ ตนจึงกลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะลดปริมาณของผู้ติดเชื้อ และทำให้สถานพยาบาลปลอดจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ และตนได้นำเทคโนโลยีโอโซนไปทดลองในห้องแล็บของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง แต่จากการที่พูดคุยวันนี้ตนพบว่าหลายๆ ฝ่าย ยังมีความรู้เกี่ยวกับระบบโอโซนน้อย ตนจึงได้ชี้ให้สำนักประกันสังคมเห็นว่า ผู้ป่วยที่รักษาตัวจากสาเหตุติดเชื้อนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 240,000 บาทต่อราย ซึ่งถ้าเรานำเอาเทคโนโลยีโอโซนไปทดลองใช้ เราจะต้องเสียค่าสร้างระบบในครั้งแรกและครั้งเดียวประมาณ 200-300 ล้านบาท แต่เราจะสามารถลดค่าใช้จ่ายที่สำนักประกันสังคมต้องจ่ายได้ตลอดไป ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งทางสำนักประกันสังคมก็ยอมรับถึงหลักการข้อนี้ ทั้งนี้ตนเชื่อว่าเทคโนโลยีโอโซนจะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
คณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่มีนายประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานคณะกรรมาธิการ มีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องการใช้เทคโนโลยีโอโซนเพื่อปรับปรุงคุณภาพการรักษาพยาบาลในหออภิบาลผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยนอก โดยมีการเชิญหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เลขาธิการสำนักประกันสังคม ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ซึ่งที่ประชุมได้มีการอ้างถึงข้อมูลสถิติการรักษาและเสียชีวิตกรณีติดเชื้อในโรงพยาบาล โดยพบว่า ตั้งแต่ปี 2553-2555 มีผู้ป่วยประกันสังคมเสียชีวิตจากกรณีนี้ถึง 341 ราย โดยเทคโนโลยีโอโซนถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่พบว่ามีการใช้ในสถานพยาบาลระบบประกันสังคมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ทั้งนี้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ทางกรรมาธิการจะมีการจัดเสวนาเพื่อให้ข้อมูลในเรื่องนี้กับประชาชนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่เข้ารับบริการในสถานพยาบาลในอนาคตด้วย
ด้าน นายประเสริฐ เปิดเผยหลังการประชุมว่า คณะกรรมาธิการพิจารณาเรื่องนี้ติดต่อกันถึง 3 ครั้งแล้ว เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นความรู้ใหม่ จากประสบการณ์ส่วนตัวตนเห็นว่า มีผู้ป่วยผ่าตัดหรือเข้ารับการบริการในสถานพยาบาลแต่สุดท้ายกลับเสียชีวิตด้วยสาเหตุของการติดเชื้อ ตนจึงกลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะลดปริมาณของผู้ติดเชื้อ และทำให้สถานพยาบาลปลอดจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ และตนได้นำเทคโนโลยีโอโซนไปทดลองในห้องแล็บของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง แต่จากการที่พูดคุยวันนี้ตนพบว่าหลายๆ ฝ่าย ยังมีความรู้เกี่ยวกับระบบโอโซนน้อย ตนจึงได้ชี้ให้สำนักประกันสังคมเห็นว่า ผู้ป่วยที่รักษาตัวจากสาเหตุติดเชื้อนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 240,000 บาทต่อราย ซึ่งถ้าเรานำเอาเทคโนโลยีโอโซนไปทดลองใช้ เราจะต้องเสียค่าสร้างระบบในครั้งแรกและครั้งเดียวประมาณ 200-300 ล้านบาท แต่เราจะสามารถลดค่าใช้จ่ายที่สำนักประกันสังคมต้องจ่ายได้ตลอดไป ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งทางสำนักประกันสังคมก็ยอมรับถึงหลักการข้อนี้ ทั้งนี้ตนเชื่อว่าเทคโนโลยีโอโซนจะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
