กทม.ชี้โรงเตาเผาขยะหนองแขมไร้ผลกระทบเผยช่วยลดปริมาณการฝั่งกลบแนะการเผาให้พลังงาน ชูโครงการตาวิเศษสร้างจิตสำนึกคนกรุงทิ้งขยะถูกที่
วันนี้ (17 ก.ย.) นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่าสำหรับกรณีโรงเตาเผาขยะหนองแขม ที่มีประชาชนออกมาคัดค้านในการสร้าง เนื่องจากเกรงว่าการเผาขยะจะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมและเกิดมลพิษในอากาศ โดยถ้าอุณหภูมิในการเผาไม่เป็นไปตามมาตรฐานก็จะไม่สามารถทำลายแก๊สไดออกซินในขยะได้ ซึ่งจะส่งผลต่อระบบหายใจของมนุษย์ ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ตนเห็นว่า ถ้ามีการบริหารจัดการระบบการเผาให้ได้ตามมาตรฐานคือ เผาขยะในอุณหภูมิ 1,000 องศาเซลเซียส ก็จะสามารถควบคุมปริมาณแก๊สไดออกซินไว้ได้ อีกทั้งการเผาขยะจะทำให้เหลือกากซึ่งมีโลหะหนักปนอยู่ ดังนั้นจะต้องมีการคัดแยกขยะให้เหมาะสมก่อนเผา หากไม่ทำการคัดแยกขยะจะทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการสร้างโรงเตาเผาขยะหนองแขมก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ตามการเผาขยะก็ไม่ใช้วิธีการกำจัดขยะที่ดีที่สุด แต่ตนเห็นว่าจะต้องอาศัยวิธีการที่ผสมผสานมากกว่า
นายจุมพล กล่าวต่อว่า กทม.มีการวางแผนการบริหารจัดการขยะแบบบูรณาการ เนื่องจาก กทม.เป็นเมืองที่มีประชากรมาก จึงทำให้มีจำนวนขยะมากถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ นับเป็น 12,000 ตันต่อวัน อีกทั้ง กทม.มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ทำให้การจัดการขยะเป็นไปด้วยความลำบาก กทม.จึงมีแนวคิดที่จะจัดการขยะ โดยการนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ในอดีต กทม.ใช้วิธีฝังกลบขยะถึง 95 เปอร์เซ็นต์ของขยะทั้งหมด แต่ปัจจุบันมีแนวคิดทางจะเปลี่ยนวิธีการกำจัดขยะ โดยการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางคือ คัดแยกจากบ้านเรือนของประชาชน สถานประกอบการ และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่ง กทม.จะทำการรณรงค์และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงวิธีการคัดแยกขยะต่อไป นอกจากนี้ กทม.จะทำการคัดแยกหลังจากที่มีการเก็บขยะมาแล้วเพิ่มเติมอีก ซึ่งเมื่อทำการคัดแยกแล้ว กทม.จะเหลือขยะเพียง 2,000 ตันต่อวันเท่านั้น ดังนั้น กทม.จึงต้องการกำหนดเป้าหมายในการคัดแยกขยะให้เป็นไปในทิศทางเดียวเดียวกัน โดยการนำเอาขยะมาผลิตเป็นพลังงานใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และผลิตเป็นแก๊สเพื่อใช้เป็นเชื่อเพลิง รวมทั้งผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าโดยผ่านการหมักแบบอาร์ดีเอฟ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยการกำจัดขยะด้วยการฝังกลบได้ ทั้งนี้ กทม.จะใช้การเผาขยะเป็นการนำร่อง โดยการเผาให้ได้วันละ 300 ตัน นำไปผลิตแก๊ส 300 ตัน และนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า 300 ตัน เพื่อจะทดสอบว่าวิธีใดที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพฯมากที่สุด
นอกจากนี้ กทม.มีแนวคิดที่จะนำโครงการตาวิเศษเข้ามาเป็นแคมเปญช่วยในการรณรงค์ให้ประชาชนทิ้งขยะให้ถูกที่ เพื่อให้ กทม.เกิดความสะอาด เนื่องจากโครงการนี้เป็นที่รู้จักของประชาชนดีอยู่แล้ว จึงจะเป็นสิ่งที่สร้างความรับรู้และเข้าใจให้กับประชาชนได้ง่ายขึ้น โดยในวันที่ 11 ต.ค.นี้ จะมีการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป