ดวงจำปา
ดูเหมือนว่าแรงสั่นสะเทือนอันเป็นผลมาจากการโยกย้ายผู้บริหารระดับ 10 ใน สธ.เมื่อครั้งล่าสุดยังไม่นิ่งสนิทซะทีเดียว และมีทีท่าว่าจะส่งผลสะเทือนไปอีกหลายคำรบ กับการแต่งตั้งโยกย้ายแทนตำแหน่งผู้ตรวจราชการที่ว่างลง 4 ตำแหน่ง รวมไปถึงระดับรองอธิบดี นพ.สสจ.และ ผอ.รพ.ระดับ จว.ที่จะเกษียณอายุภายใน ก.ย.นี้ ยังไม่นับว่าในช่วง 3 ปี ต่อจากนี้ จะเป็นช่วงที่ระดับ นพ.สสจ. ผอ.รพ.เกษียณอายุกันเป็นจำนวนมากด้วย
เมื่อเป็นเช่นดังว่า สิ่งที่ปรากฏ ณ เวลานี้ภายในกระทรวงหมอ คือ ปรากฏการณ์สายวิ่งกลับคืนมาอีกคำรบ หลังจากที่เคยมีความหวังเรืองรองเมื่อครั้งแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อปี 55 ที่ผ่านมา ที่รัฐมนตรีวิทยา บุรณศิริ และปลัดไพจิตร์ วราชิต ณ เวลานั้น ทำได้ดีในระดับหนึ่ง พอที่จะรับประกันได้ว่า ถึงไม่วิ่งก็ยังมีความหวัง หากผลงานดี
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังทราบผลการแต่งตั้งโยกย้าย นักข่าวถามรัฐมนตรีประดิษฐ สินธวณรงค์ ว่าใช้หลักการใดในการคัดเลือก คำตอบ ณ เวลานั้นคือ ผลงาน
แต่ผลการโยกย้ายที่ออกมา เป็นหลักฐานชั้นดีที่คัดค้านคำพูดของประดิษฐเองทั้งหมด เพราะคนที่ท่านว่าผลงานดีไล่มาตั้งแต่จากผู้ตรวจราชการไปเป็นปลัดนั้น เป็นที่รับรู้กันว่า ผลการทำงานในระดับเขตหลายๆ ด้านต่ำกว่าเขตอื่นๆ อย่างหลุดลุ่ย ไม่ว่าจะเป็น นพ.อำนวย กาจีนะ จากเขต 2 นพ.ทรงยศ ชัยชนะ จากเขต 3 ที่ได้ปูนบำเหน็จเป็นรองปลัด ก็ไม่ได้มีผลงานใดโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเรื่องนี้คนในวงการรู้กันดี และก็ไม่แปลกเช่นกัน เพราะเพิ่งเป็นผู้ตรวจได้ไม่ถึงปี หลังจาก ครม.แต่งตั้งเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 55 แน่นอนว่าการเป็นผู้ตรวจไม่ถึงปีย่อมไม่สามารถผลักดันผลงานได้
นพ.ธวัชชัย กมลธรรม จากผู้ตรวจเขต 6 เป็น อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย ที่ประดิษฐให้สัมภาษณ์ว่า เพราะทำกิจกรรมแพทย์แผนไทยมาโดยตลอด เมื่อย้อนไปดูผลงานการให้บริการแพทย์แผนไทยพบว่า เขต 7 ต่างหากที่มีผลงานสูงสุด
ขณะที่จากตำแหน่งรองปลัดไปเป็นอธิบดี เริ่มที่ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัดหน้าเสื่อศึก P4P ที่ชนกับแพทย์ชนบทมาอย่างหนักหน่วง ได้รับการปูนบำเหน็จคุมกรมใหญ่อย่าง กรมการแพทย์
นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัด มือขวาคู่ใจทั่นรัฐมนตรีประดิษฐ ที่รับผิดชอบงานใหญ่ของ สธ.อย่างปฏิรูปกระทรวง ก็ถูกส่งไปคุมกรมเกรดเอ ควบคุมโรค และเป็นการขึ้นแท่นตำแหน่งอธิบดีครั้งแรก แทน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ที่แม้ผลงานไม่เข้าตา แต่ก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจ ถูกโยกไปอยู่กรมอนามัยแทน สำหรับพรเทพนั้น ลูกน้องในกรมเก่าเรียกทั่นว่า มิสเตอร์เฟซบุ๊ก ส่วนความหมายจะเป็นบวกหรือลบนั้นคงต้องพิจารณาด้วยวิจารณญาณส่วนตัวกันเอง
และไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าอย่างไร เมื่อพิจารณาภูมิหลังทางการศึกษาของแต่ละท่านแล้วจะพบว่า แต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ เป็น เชียงใหม่คอนเนกชัน ดังนั้น สายวิ่งที่ว่าแน่ ก็อาจจะยังสู้สายเชียงใหม่ไม่ได้ ทำไมเป็นเชียงใหม่คอนเนกชัน ก็ไล่มาตั้งแต่ปลัดณรงค์ จบแพทย์ มช.
นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ ที่จู่ๆ พุ่งพรวดมาโผล่ในตำแหน่งรองปลัด อันเป็นผลจากแต่งตั้งเมื่อปี 55 อันถือว่าเป็นบุคคลที่มาด้วยวิธีพิเศษ ก็แพทย์มช.ซึ่งจะเกษียณอายุในปี 2564 และสำหรับการโยกย้ายครั้งนี้ ก็ล้วนเป็น เชียงใหม่คอนเนกชัน ทั้ง ทรงยศ ชัยชนะ อำนวย กาจีนะ พรเทพ ศิริวนารังสรรค์
ยังไม่นับ นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการ อย.แถมนับต่อมาอีกนิด นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการ สพฉ.คนใหม่ก็แพทย์ มช.และเป็นเลขาธิการในยุคที่ สพฉ.ถูกปรับบทบาทให้เป็นหน่วยงานวิชาการเพียงอย่างเดียว ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุนี้หรืออย่างไร จึงทำให้มีเวลาว่างเสาร์อาทิตย์สำหรับการกลับไปเปิดคลินิกที่อุดร (ฮา) นพ.วัช เซียศิริวัฒนา ผู้ตรวจเขต 12 ที่เพิ่งได้เป็น ผอ.อภ.หมาดๆ นี่ก็แพทย์ มช.เช่นกัน
ความบังเอิญนี้ จึงทำให้เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า สธ.ณ เวลานี้ เชียงใหม่คอนเนกชัน สายเชียงใหม่ครอง
แน่นอนว่า สถาบันการศึกษาย่อมไม่ใช่ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงาน ฝีมือต่างหากที่เป็นหลักฐานและตัวชี้วัดที่ดีที่สุด แต่การณ์ ก็เป็นอย่างที่เห็นว่า โยกย้ายครั้งนี้สะเทือนสธ.อย่างไร ที่สำคัญผลลัพธ์จากการโยกย้ายครั้งนี้ บอกเราได้ว่า แท้จริงแล้วใครกำลังยึดครอง สธ.และกำลังวางฐานอำนาจของตัวเองอยู่กันแน่
ยิ่งประจวบเหมาะกับนโยบายใหม่ของประดิษฐที่จะงัดระเบียบราชการมาใช้ ห้ามอยู่เกิน 4 ปี ก็ยิ่งสะเทือนซาง นพ.สสจ.กันอุตลุด โดยเฉพาะท่านๆที่หวังอยู่นานจนเกษียณ
นโยบายนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ในหลักของการบริหารธุรกิจ นี่เป็นเรื่องดี ที่ควรโยกย้ายปรับการทำงาน แต่กับวัฒนธรรมอุปถัมภ์แบบไทยๆ นี้ แน่หรือว่าการโยกย้ายจะทำได้แบบเป็นธรรมจริงๆ และป่านนี้สำหรับ นพ.สสจ.ที่อยู่กันเกิน 4 ปี ก็คงหนาวๆ ร้อนๆ กับชะตากรรมของตัว และวันนี้ก็คงต้องเริ่มวิ่งกันฝุ่นตลบอีกครั้ง
จากรูปการณ์เช่นนี้ และบวกเข้ากับโอกาสเหมาะ ฟ้าเปิด เมื่อในช่วง 3 ปี นี้ สธ.จะต้องมีการปรับ นพ.สสจ.และ ผอ.รพ.ระดับจังหวัดกันยกแผง เพราะจะมีการทยอยเกษียณกันครึ่งประเทศ เฉพาะปี 2556 ก็ นพ.สสจ.6 จังหวัด และ ผอ.รพ.จังหวัดอีก 18 แห่ง ซึ่งแน่นอนว่า ระดับปลัดต้องมองข้ามช็อตถึงจุดนี้เรียบร้อยและเตรียมวางกำลังคนไว้แล้ว
งานนี้ผู้สันทัดกรณีจึงฟันธงว่า เป็นช่วงโอกาสเหมาะ ฟ้าเปิด สำหรับการจัดทัพวางคนเสียใหม่ ก็เท่ากับว่า ปลัดณรงค์และรัฐมนตรีประดิษฐสามารถวางคนของตนเองได้กว่าครึ่งประเทศ สร้างฐานอำนาจชุดใหม่ ดีดเด็กเจ๊ใหญ่กระเด็น ลดอิทธิพลที่เคยครอบงำกระทรวงหมอไปได้ และข้ามขยายอิทธิพลไปถึงองค์กร ส.ได้อีก ดีไม่ดี ทั่นอาจจะมองการณ์ไกลถึงการวางขุมกำลังเพื่อก้าวเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีก
งานนี้ รัฐมนตรีประดิษฐ ที่เข้ามาแบบโดดเดี่ยว แม้จะมาในฐานะเพื่อนสนิทนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ความไม่มีพรรคพวก การผนึกกำลังกับปลัดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น แต่เด็กใหม่หรือจะสู้มือเก๋าที่รู้ตื้นลึกหนาบางกระทรวงหมอได้ดีเท่าข้าราชการประจำตำแหน่งสูงสุด
ด้วยเหตุนี้ ความท้าทายของข้าราชการการเมือง ที่จะต้องมากำกับข้าราชการประจำในฐานะนักการเมือง จึงอยู่ที่ทักษะการบริหารล้วนๆ balance power เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญของคนที่จะมาเป็น รมต.โดยเฉพาะในกระทรวงที่แบ่งขั้วอำนาจกันชัดเจนอย่าง สธ.
การไม่เฮโลเข้าข้างใดข้างหนึ่ง เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้การเมืองสร้างผลงานได้ แต่การเป็นรัฐมนตรีที่กำลังจะเข้าสู่ปีที่ 2 ของประดิษฐ ยังไม่เห็นตรงนี้ ช่วงแรกๆ กลับลุยไปกับ สธ.ไล่บี้ตระกูล ส.อย่างหนักหน่วง ก่อนจะนึกเอะใจขึ้นได้ และกลับลำในเวลาต่อมา ยังไม่นับกับการเปิดศึกกับแพทย์ชนบทที่เล่นเอาบอบช้ำอย่างหนักกับวลี ประดิษฐออกไปๆๆ
และเวลานี้ ก็กำลังพลาดกับการเชื่อใจปล่อยให้เกิดการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะเอะใจได้เมื่อไร
ดังนั้นการก้าวขึ้นสู่ปีที่ 2 กับตำแหน่ง รมว.สธ.ของประดิษฐ ก็ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ปฏิรูปกระทรวง สธ.งานใหญ่ ก็ยังมะงุมมะหงาหลา แถมเปิดศึกกับแพทย์ชนบทชนิดไม่เผาผีกันอีก ก็น่าจะยากที่จะเห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันได้อีก ซึ่งต่างกันลิบกับอดีตรัฐมนตรีวิทยาที่ยังมีผลโพลล์การันตีว่ามีผลงานเป็นอันดับสองรองจากนายกรัฐมนตรี
และสำหรับชะตากรรมของบรรดาหมอๆ ใน สธ.ทั้งหลายที่หวังจะเติบโตในสายบริหารแล้วละก็ นาทีนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเมื่ออำนาจเก่าไป อำนาจใหม่ก็แทนที่ ผลงานแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับคนของใคร เวลานี้ สายวิ่งฟื้นคืนชีพ ที่ก็ไม่แน่ว่า จะสู้เชียงใหม่คอนเนคชั่นได้หรือไม่ แต่ถ้ามีทั้งสายวิ่งและสายเชียงใหม่ ก็อาจจะมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
ดูเหมือนว่าแรงสั่นสะเทือนอันเป็นผลมาจากการโยกย้ายผู้บริหารระดับ 10 ใน สธ.เมื่อครั้งล่าสุดยังไม่นิ่งสนิทซะทีเดียว และมีทีท่าว่าจะส่งผลสะเทือนไปอีกหลายคำรบ กับการแต่งตั้งโยกย้ายแทนตำแหน่งผู้ตรวจราชการที่ว่างลง 4 ตำแหน่ง รวมไปถึงระดับรองอธิบดี นพ.สสจ.และ ผอ.รพ.ระดับ จว.ที่จะเกษียณอายุภายใน ก.ย.นี้ ยังไม่นับว่าในช่วง 3 ปี ต่อจากนี้ จะเป็นช่วงที่ระดับ นพ.สสจ. ผอ.รพ.เกษียณอายุกันเป็นจำนวนมากด้วย
เมื่อเป็นเช่นดังว่า สิ่งที่ปรากฏ ณ เวลานี้ภายในกระทรวงหมอ คือ ปรากฏการณ์สายวิ่งกลับคืนมาอีกคำรบ หลังจากที่เคยมีความหวังเรืองรองเมื่อครั้งแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อปี 55 ที่ผ่านมา ที่รัฐมนตรีวิทยา บุรณศิริ และปลัดไพจิตร์ วราชิต ณ เวลานั้น ทำได้ดีในระดับหนึ่ง พอที่จะรับประกันได้ว่า ถึงไม่วิ่งก็ยังมีความหวัง หากผลงานดี
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังทราบผลการแต่งตั้งโยกย้าย นักข่าวถามรัฐมนตรีประดิษฐ สินธวณรงค์ ว่าใช้หลักการใดในการคัดเลือก คำตอบ ณ เวลานั้นคือ ผลงาน
แต่ผลการโยกย้ายที่ออกมา เป็นหลักฐานชั้นดีที่คัดค้านคำพูดของประดิษฐเองทั้งหมด เพราะคนที่ท่านว่าผลงานดีไล่มาตั้งแต่จากผู้ตรวจราชการไปเป็นปลัดนั้น เป็นที่รับรู้กันว่า ผลการทำงานในระดับเขตหลายๆ ด้านต่ำกว่าเขตอื่นๆ อย่างหลุดลุ่ย ไม่ว่าจะเป็น นพ.อำนวย กาจีนะ จากเขต 2 นพ.ทรงยศ ชัยชนะ จากเขต 3 ที่ได้ปูนบำเหน็จเป็นรองปลัด ก็ไม่ได้มีผลงานใดโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเรื่องนี้คนในวงการรู้กันดี และก็ไม่แปลกเช่นกัน เพราะเพิ่งเป็นผู้ตรวจได้ไม่ถึงปี หลังจาก ครม.แต่งตั้งเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 55 แน่นอนว่าการเป็นผู้ตรวจไม่ถึงปีย่อมไม่สามารถผลักดันผลงานได้
นพ.ธวัชชัย กมลธรรม จากผู้ตรวจเขต 6 เป็น อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย ที่ประดิษฐให้สัมภาษณ์ว่า เพราะทำกิจกรรมแพทย์แผนไทยมาโดยตลอด เมื่อย้อนไปดูผลงานการให้บริการแพทย์แผนไทยพบว่า เขต 7 ต่างหากที่มีผลงานสูงสุด
ขณะที่จากตำแหน่งรองปลัดไปเป็นอธิบดี เริ่มที่ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัดหน้าเสื่อศึก P4P ที่ชนกับแพทย์ชนบทมาอย่างหนักหน่วง ได้รับการปูนบำเหน็จคุมกรมใหญ่อย่าง กรมการแพทย์
นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัด มือขวาคู่ใจทั่นรัฐมนตรีประดิษฐ ที่รับผิดชอบงานใหญ่ของ สธ.อย่างปฏิรูปกระทรวง ก็ถูกส่งไปคุมกรมเกรดเอ ควบคุมโรค และเป็นการขึ้นแท่นตำแหน่งอธิบดีครั้งแรก แทน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ที่แม้ผลงานไม่เข้าตา แต่ก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจ ถูกโยกไปอยู่กรมอนามัยแทน สำหรับพรเทพนั้น ลูกน้องในกรมเก่าเรียกทั่นว่า มิสเตอร์เฟซบุ๊ก ส่วนความหมายจะเป็นบวกหรือลบนั้นคงต้องพิจารณาด้วยวิจารณญาณส่วนตัวกันเอง
และไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าอย่างไร เมื่อพิจารณาภูมิหลังทางการศึกษาของแต่ละท่านแล้วจะพบว่า แต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ เป็น เชียงใหม่คอนเนกชัน ดังนั้น สายวิ่งที่ว่าแน่ ก็อาจจะยังสู้สายเชียงใหม่ไม่ได้ ทำไมเป็นเชียงใหม่คอนเนกชัน ก็ไล่มาตั้งแต่ปลัดณรงค์ จบแพทย์ มช.
นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ ที่จู่ๆ พุ่งพรวดมาโผล่ในตำแหน่งรองปลัด อันเป็นผลจากแต่งตั้งเมื่อปี 55 อันถือว่าเป็นบุคคลที่มาด้วยวิธีพิเศษ ก็แพทย์มช.ซึ่งจะเกษียณอายุในปี 2564 และสำหรับการโยกย้ายครั้งนี้ ก็ล้วนเป็น เชียงใหม่คอนเนกชัน ทั้ง ทรงยศ ชัยชนะ อำนวย กาจีนะ พรเทพ ศิริวนารังสรรค์
ยังไม่นับ นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการ อย.แถมนับต่อมาอีกนิด นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการ สพฉ.คนใหม่ก็แพทย์ มช.และเป็นเลขาธิการในยุคที่ สพฉ.ถูกปรับบทบาทให้เป็นหน่วยงานวิชาการเพียงอย่างเดียว ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุนี้หรืออย่างไร จึงทำให้มีเวลาว่างเสาร์อาทิตย์สำหรับการกลับไปเปิดคลินิกที่อุดร (ฮา) นพ.วัช เซียศิริวัฒนา ผู้ตรวจเขต 12 ที่เพิ่งได้เป็น ผอ.อภ.หมาดๆ นี่ก็แพทย์ มช.เช่นกัน
ความบังเอิญนี้ จึงทำให้เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า สธ.ณ เวลานี้ เชียงใหม่คอนเนกชัน สายเชียงใหม่ครอง
แน่นอนว่า สถาบันการศึกษาย่อมไม่ใช่ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงาน ฝีมือต่างหากที่เป็นหลักฐานและตัวชี้วัดที่ดีที่สุด แต่การณ์ ก็เป็นอย่างที่เห็นว่า โยกย้ายครั้งนี้สะเทือนสธ.อย่างไร ที่สำคัญผลลัพธ์จากการโยกย้ายครั้งนี้ บอกเราได้ว่า แท้จริงแล้วใครกำลังยึดครอง สธ.และกำลังวางฐานอำนาจของตัวเองอยู่กันแน่
ยิ่งประจวบเหมาะกับนโยบายใหม่ของประดิษฐที่จะงัดระเบียบราชการมาใช้ ห้ามอยู่เกิน 4 ปี ก็ยิ่งสะเทือนซาง นพ.สสจ.กันอุตลุด โดยเฉพาะท่านๆที่หวังอยู่นานจนเกษียณ
นโยบายนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ในหลักของการบริหารธุรกิจ นี่เป็นเรื่องดี ที่ควรโยกย้ายปรับการทำงาน แต่กับวัฒนธรรมอุปถัมภ์แบบไทยๆ นี้ แน่หรือว่าการโยกย้ายจะทำได้แบบเป็นธรรมจริงๆ และป่านนี้สำหรับ นพ.สสจ.ที่อยู่กันเกิน 4 ปี ก็คงหนาวๆ ร้อนๆ กับชะตากรรมของตัว และวันนี้ก็คงต้องเริ่มวิ่งกันฝุ่นตลบอีกครั้ง
จากรูปการณ์เช่นนี้ และบวกเข้ากับโอกาสเหมาะ ฟ้าเปิด เมื่อในช่วง 3 ปี นี้ สธ.จะต้องมีการปรับ นพ.สสจ.และ ผอ.รพ.ระดับจังหวัดกันยกแผง เพราะจะมีการทยอยเกษียณกันครึ่งประเทศ เฉพาะปี 2556 ก็ นพ.สสจ.6 จังหวัด และ ผอ.รพ.จังหวัดอีก 18 แห่ง ซึ่งแน่นอนว่า ระดับปลัดต้องมองข้ามช็อตถึงจุดนี้เรียบร้อยและเตรียมวางกำลังคนไว้แล้ว
งานนี้ผู้สันทัดกรณีจึงฟันธงว่า เป็นช่วงโอกาสเหมาะ ฟ้าเปิด สำหรับการจัดทัพวางคนเสียใหม่ ก็เท่ากับว่า ปลัดณรงค์และรัฐมนตรีประดิษฐสามารถวางคนของตนเองได้กว่าครึ่งประเทศ สร้างฐานอำนาจชุดใหม่ ดีดเด็กเจ๊ใหญ่กระเด็น ลดอิทธิพลที่เคยครอบงำกระทรวงหมอไปได้ และข้ามขยายอิทธิพลไปถึงองค์กร ส.ได้อีก ดีไม่ดี ทั่นอาจจะมองการณ์ไกลถึงการวางขุมกำลังเพื่อก้าวเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีก
งานนี้ รัฐมนตรีประดิษฐ ที่เข้ามาแบบโดดเดี่ยว แม้จะมาในฐานะเพื่อนสนิทนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ความไม่มีพรรคพวก การผนึกกำลังกับปลัดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น แต่เด็กใหม่หรือจะสู้มือเก๋าที่รู้ตื้นลึกหนาบางกระทรวงหมอได้ดีเท่าข้าราชการประจำตำแหน่งสูงสุด
ด้วยเหตุนี้ ความท้าทายของข้าราชการการเมือง ที่จะต้องมากำกับข้าราชการประจำในฐานะนักการเมือง จึงอยู่ที่ทักษะการบริหารล้วนๆ balance power เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญของคนที่จะมาเป็น รมต.โดยเฉพาะในกระทรวงที่แบ่งขั้วอำนาจกันชัดเจนอย่าง สธ.
การไม่เฮโลเข้าข้างใดข้างหนึ่ง เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้การเมืองสร้างผลงานได้ แต่การเป็นรัฐมนตรีที่กำลังจะเข้าสู่ปีที่ 2 ของประดิษฐ ยังไม่เห็นตรงนี้ ช่วงแรกๆ กลับลุยไปกับ สธ.ไล่บี้ตระกูล ส.อย่างหนักหน่วง ก่อนจะนึกเอะใจขึ้นได้ และกลับลำในเวลาต่อมา ยังไม่นับกับการเปิดศึกกับแพทย์ชนบทที่เล่นเอาบอบช้ำอย่างหนักกับวลี ประดิษฐออกไปๆๆ
และเวลานี้ ก็กำลังพลาดกับการเชื่อใจปล่อยให้เกิดการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะเอะใจได้เมื่อไร
ดังนั้นการก้าวขึ้นสู่ปีที่ 2 กับตำแหน่ง รมว.สธ.ของประดิษฐ ก็ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ปฏิรูปกระทรวง สธ.งานใหญ่ ก็ยังมะงุมมะหงาหลา แถมเปิดศึกกับแพทย์ชนบทชนิดไม่เผาผีกันอีก ก็น่าจะยากที่จะเห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันได้อีก ซึ่งต่างกันลิบกับอดีตรัฐมนตรีวิทยาที่ยังมีผลโพลล์การันตีว่ามีผลงานเป็นอันดับสองรองจากนายกรัฐมนตรี
และสำหรับชะตากรรมของบรรดาหมอๆ ใน สธ.ทั้งหลายที่หวังจะเติบโตในสายบริหารแล้วละก็ นาทีนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเมื่ออำนาจเก่าไป อำนาจใหม่ก็แทนที่ ผลงานแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับคนของใคร เวลานี้ สายวิ่งฟื้นคืนชีพ ที่ก็ไม่แน่ว่า จะสู้เชียงใหม่คอนเนคชั่นได้หรือไม่ แต่ถ้ามีทั้งสายวิ่งและสายเชียงใหม่ ก็อาจจะมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว