วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันที่มีสำคัญมากของชนชาวไทย เนื่องด้วยตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และถือเป็นวันแม่แห่งชาติอีกด้วย ซึ่งวันนี้ลูกๆ มักใช้เวลากับคุณแม่ มาเยี่ยมเยียนท่าน พาท่านไปทำบุญทำทาน พาท่านไปเที่ยวในที่ที่ท่านอยากไป พาไปทานอาหารอร่อย หรือสรรหาของขวัญที่ดีที่สุดมามอบให้ท่าน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่แสดงถึงความรักที่ลูกๆ มีต่อคุณแม่และเพื่อย้ำเตือนว่า คุณแม่เป็นคนที่มีความสำคัญต่อลูกมากมายขนาดไหน
ผู้หญิงหลายคนอาจสามารถเป็นแม่ได้ แต่การเป็นแม่ที่ดีนั้นไม่ใช่แค่การที่เลี้ยงดูลูกให้โตแต่ตัวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเลี้ยงดู อบรม สั่งสอนให้ลูกเป็นคนดีและมีคุณภาพของสังคมด้วย แล้วแม่แบบไหนคือแม่ในแบบที่สังคมไทยต้องการ
1.แม่ที่มีความรักและความอบอุ่นให้ลูกเสมอ นับเป็นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับแม่ในการเลี้ยงดูลูก ซึ่งการแสดงความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นสามารถทำได้หลายวิธี
- การแสดงความรักทางกาย เช่น อุ้ม โอบกอด หอม จับมือ ลูบหัวลูบตัว มองลูกด้วยสายตาอ่อนโยน ซึ่งเป็นการแสดงออกที่คุณแม่สามารถทำได้กับลูกทุกวัย บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเมื่อลูกโตแล้ว การสัมผัสทางด้านร่างกายอาจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่แท้ที่จริงแล้วแม้ว่าลูกจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ก็ยังต้องการสัมผัสที่อบอุ่นจากพ่อแม่อยู่เสมอ เพราะมันสามารถถ่ายทอดความรักของแม่ไปสู่ลูกได้อย่างเต็มที่
- การแสดงความรักทางคำพูด เช่น พูดด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน ไพเราะ พูดแสดงความห่วงใย พูดให้กำลังใจ เช่น “แม่รักลูกเสมอนะจ๊ะ” “ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก” “แม่เป็นห่วงลูกมากนะ” “แม่เชื่อว่าลูกแม่ทำได้”
- การมีเวลาให้กับลูกเสมอ ด้วยเพราะสภาพของสังคมและเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้คุณแม่หลายคนไม่สามารถอยู่บ้านเลี้ยงลูกได้อย่างเดียว แต่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวด้วย แต่อย่าลืมว่าการให้เวลากับลูกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากและเป็นการแสดงความรักทีี่ลูกต้องการเป็นอย่างมากเช่นกัน ดังนั้น คุณแม่ต้องรู้จักจัดสรรแบ่งเวลาให้ลูกอย่างเหมาะสม เช่น หลังเลิกงานคุณแม่และลูกจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันแทนที่จะต่างคนต่างหากินกันเองนอกบ้าน วันหยุดเสาร์และหรืออาทิตย์เป็นวันที่คนในครอบครัวจะทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกัน เช่น ไปดูหนังหรือกินข้าวนอกบ้านกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหรือไปออกกำลังกายด้วยกัน
2.แม่ที่มีความทันสมัย หมายถึงว่า สังคมรอบด้านมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น แม่ต้องมีการปรับตัวปรับใจให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยด้วย เป็นต้นว่า แม่ยุคใหม่ต้องเป็นนักอ่าน เป็นนักดูและสนใจข่าวสารในโลกยุคปัจจุบันมากขึ้น รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในสังคมไทยบ้างและรู้ว่าสังคมโลกมีอะไรเคลื่อนไหวเกิดขึ้นบ้าง เช่น รู้ว่าอีกไม่นานก็จะมีประชาคมอาเซียน (AEC) แล้ว มีความเข้าใจและมีความรู้ในเรื่องของไอที การที่คุณแม่ต้องรู้และเข้าใจเรื่องต่างๆ ก็เพื่อที่คุณแม่จะสามารถแนะนำและให้ความรู้แก่ลูกได้ และจะได้มีเรื่องพูดคุยกับลูกมากยิ่งขึ้น จึงเป็นการสกัดกั้นช่องว่างของวัยระหว่างแม่และลูกได้ดี
3.แม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี หมายถึงการที่แม่ต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกทั้งในด้านความคิด คำพูดและการกระทำ โดยไม่ทำในสิ่งที่เป็นพฤติกรรมด้านลบให้ลูกเห็น เช่น การพูดโกหก การพูดจาลามกหยาบคาย การกินเหล้าสูบบุหรี่หรือเล่นการพนัน การไม่มีความซื่อสัตย์ในชีวิตคู่ การไม่เอาใจใส่ในการงาน การเอาเปรียบผู้อื่น การไม่รักษากฎระเบียบในสังคม การไม่เคารพกฎหมาย เพราะอย่าลืมว่าลูกจะเรียนรู้พฤติกรรมทั้งทางด้านความคิดและการกระทำทุกอย่างจากพ่อแม่ และหล่อหลอมจนกลายเป็นพฤติกรรมที่ฝังแน่นของตนเอง ดังนั้น หากคุณแม่อยากให้ลูกเป็นคนดี คุณแม่ก็ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เช่น เรื่องของความซื่อสัตย์ ความเมตตากรุณา ความกตัญญู ความสุภาพอ่อนโยน ความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว การรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การเคารพกฎหมายบ้านเมือง
4.แม่ที่มีอารมณ์ขัน สังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่ง จึงทำให้เกิดความเครียดทั้งไม่ว่ากับเด็กหรือผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณแม่จึงควรต้องสร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีลักษณะยืดหยุ่น สบายๆ ไม่เคร่งเครียด พูดหยอกล้อและมีอารมณ์ขันกับลูกบ้าง ไม่ใช่ว่ามีแต่การดุด่าว่ากล่าว หรือบีบบังคับให้ลูกอยู่แต่ในกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดแต่เพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้ลูกเป็นคนมีปัญหาทางด้านอารมณ์และขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือในวันหยุดแทนที่จะให้ลูกอยู่กับตำราเรียนหรือไปเรียนพิเศษอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างเดียว ก็ควรพาลูกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาหรือหากิจกรรมที่ผ่อนคลายให้ลูกได้ทำบ้าง ลูกจะได้ผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้น
5.แม่ต้องมีจิตสาธารณะ หมายถึง การมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม แม่ยุคปัจจุบันต้องเป็นคนมีจิตสาธารณะ ทั้งการกระทำสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับสังคมและการไม่ทำลายสังคมไม่ว่าโดยทางใด โดยสอนให้ลูกมีจิตใจคำนึงถึงส่วนรวม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น สอนลูกไม่ให้ทิ้งขยะลงบนพื้นถนนและแม่น้ำลำคลอง ไม่ถ่มน้ำลายลงบนพื้นถนน ไม่ขีดเขียนหรือพ่นสีลงบนกำแพงหรือตามป้ายรถประจำทาง หรือเมื่อยามที่ผู้คนในบ้านเมืองประสบความทุกข์ยาก เช่น เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม คุณแม่สามารถชวนลูกไปช่วยจัดถุงยังชีพแจกจ่ายผู้ประสบภัย หรือชวนลูกไปเก็บขยะริมชายหาด พาไปเยี่ยมเยียนคนชราตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการถ่ายทอดการมีจิตสาธารณะจากแม่ไปสู่ลูก ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยในเวลานี้ต้องการเป็นอย่างมาก
ผู้เขียนเชื่อว่าทั้ง 5 ข้อที่กล่าวไปนั้นเป็นสิ่งที่คุณแม่ทุกคนคงทำได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรักความอบอุ่นกับลูก การทำตนเป็นคนทันสมัยไม่ตกยุค การเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก การเป็นแม่ที่มีอารมณ์ขันและการเป็นแม่ที่มีจิตสาธารณะ ล้วนแล้วแต่สร้างให้ลูกๆ ซึ่งเป็นเด็กไทยยุคใหม่เติบโตขึ้นเป็นคนที่ดีและมีคุณภาพของสังคมไทยได้อย่างแน่นอน สุขสันต์วันแม่ถึงท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน
ผู้หญิงหลายคนอาจสามารถเป็นแม่ได้ แต่การเป็นแม่ที่ดีนั้นไม่ใช่แค่การที่เลี้ยงดูลูกให้โตแต่ตัวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเลี้ยงดู อบรม สั่งสอนให้ลูกเป็นคนดีและมีคุณภาพของสังคมด้วย แล้วแม่แบบไหนคือแม่ในแบบที่สังคมไทยต้องการ
1.แม่ที่มีความรักและความอบอุ่นให้ลูกเสมอ นับเป็นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับแม่ในการเลี้ยงดูลูก ซึ่งการแสดงความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นสามารถทำได้หลายวิธี
- การแสดงความรักทางกาย เช่น อุ้ม โอบกอด หอม จับมือ ลูบหัวลูบตัว มองลูกด้วยสายตาอ่อนโยน ซึ่งเป็นการแสดงออกที่คุณแม่สามารถทำได้กับลูกทุกวัย บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเมื่อลูกโตแล้ว การสัมผัสทางด้านร่างกายอาจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่แท้ที่จริงแล้วแม้ว่าลูกจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ก็ยังต้องการสัมผัสที่อบอุ่นจากพ่อแม่อยู่เสมอ เพราะมันสามารถถ่ายทอดความรักของแม่ไปสู่ลูกได้อย่างเต็มที่
- การแสดงความรักทางคำพูด เช่น พูดด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน ไพเราะ พูดแสดงความห่วงใย พูดให้กำลังใจ เช่น “แม่รักลูกเสมอนะจ๊ะ” “ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก” “แม่เป็นห่วงลูกมากนะ” “แม่เชื่อว่าลูกแม่ทำได้”
- การมีเวลาให้กับลูกเสมอ ด้วยเพราะสภาพของสังคมและเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้คุณแม่หลายคนไม่สามารถอยู่บ้านเลี้ยงลูกได้อย่างเดียว แต่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวด้วย แต่อย่าลืมว่าการให้เวลากับลูกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากและเป็นการแสดงความรักทีี่ลูกต้องการเป็นอย่างมากเช่นกัน ดังนั้น คุณแม่ต้องรู้จักจัดสรรแบ่งเวลาให้ลูกอย่างเหมาะสม เช่น หลังเลิกงานคุณแม่และลูกจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันแทนที่จะต่างคนต่างหากินกันเองนอกบ้าน วันหยุดเสาร์และหรืออาทิตย์เป็นวันที่คนในครอบครัวจะทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกัน เช่น ไปดูหนังหรือกินข้าวนอกบ้านกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหรือไปออกกำลังกายด้วยกัน
2.แม่ที่มีความทันสมัย หมายถึงว่า สังคมรอบด้านมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น แม่ต้องมีการปรับตัวปรับใจให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยด้วย เป็นต้นว่า แม่ยุคใหม่ต้องเป็นนักอ่าน เป็นนักดูและสนใจข่าวสารในโลกยุคปัจจุบันมากขึ้น รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในสังคมไทยบ้างและรู้ว่าสังคมโลกมีอะไรเคลื่อนไหวเกิดขึ้นบ้าง เช่น รู้ว่าอีกไม่นานก็จะมีประชาคมอาเซียน (AEC) แล้ว มีความเข้าใจและมีความรู้ในเรื่องของไอที การที่คุณแม่ต้องรู้และเข้าใจเรื่องต่างๆ ก็เพื่อที่คุณแม่จะสามารถแนะนำและให้ความรู้แก่ลูกได้ และจะได้มีเรื่องพูดคุยกับลูกมากยิ่งขึ้น จึงเป็นการสกัดกั้นช่องว่างของวัยระหว่างแม่และลูกได้ดี
3.แม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี หมายถึงการที่แม่ต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกทั้งในด้านความคิด คำพูดและการกระทำ โดยไม่ทำในสิ่งที่เป็นพฤติกรรมด้านลบให้ลูกเห็น เช่น การพูดโกหก การพูดจาลามกหยาบคาย การกินเหล้าสูบบุหรี่หรือเล่นการพนัน การไม่มีความซื่อสัตย์ในชีวิตคู่ การไม่เอาใจใส่ในการงาน การเอาเปรียบผู้อื่น การไม่รักษากฎระเบียบในสังคม การไม่เคารพกฎหมาย เพราะอย่าลืมว่าลูกจะเรียนรู้พฤติกรรมทั้งทางด้านความคิดและการกระทำทุกอย่างจากพ่อแม่ และหล่อหลอมจนกลายเป็นพฤติกรรมที่ฝังแน่นของตนเอง ดังนั้น หากคุณแม่อยากให้ลูกเป็นคนดี คุณแม่ก็ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เช่น เรื่องของความซื่อสัตย์ ความเมตตากรุณา ความกตัญญู ความสุภาพอ่อนโยน ความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว การรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การเคารพกฎหมายบ้านเมือง
4.แม่ที่มีอารมณ์ขัน สังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่ง จึงทำให้เกิดความเครียดทั้งไม่ว่ากับเด็กหรือผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณแม่จึงควรต้องสร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีลักษณะยืดหยุ่น สบายๆ ไม่เคร่งเครียด พูดหยอกล้อและมีอารมณ์ขันกับลูกบ้าง ไม่ใช่ว่ามีแต่การดุด่าว่ากล่าว หรือบีบบังคับให้ลูกอยู่แต่ในกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดแต่เพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้ลูกเป็นคนมีปัญหาทางด้านอารมณ์และขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือในวันหยุดแทนที่จะให้ลูกอยู่กับตำราเรียนหรือไปเรียนพิเศษอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างเดียว ก็ควรพาลูกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาหรือหากิจกรรมที่ผ่อนคลายให้ลูกได้ทำบ้าง ลูกจะได้ผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้น
5.แม่ต้องมีจิตสาธารณะ หมายถึง การมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม แม่ยุคปัจจุบันต้องเป็นคนมีจิตสาธารณะ ทั้งการกระทำสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับสังคมและการไม่ทำลายสังคมไม่ว่าโดยทางใด โดยสอนให้ลูกมีจิตใจคำนึงถึงส่วนรวม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น สอนลูกไม่ให้ทิ้งขยะลงบนพื้นถนนและแม่น้ำลำคลอง ไม่ถ่มน้ำลายลงบนพื้นถนน ไม่ขีดเขียนหรือพ่นสีลงบนกำแพงหรือตามป้ายรถประจำทาง หรือเมื่อยามที่ผู้คนในบ้านเมืองประสบความทุกข์ยาก เช่น เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม คุณแม่สามารถชวนลูกไปช่วยจัดถุงยังชีพแจกจ่ายผู้ประสบภัย หรือชวนลูกไปเก็บขยะริมชายหาด พาไปเยี่ยมเยียนคนชราตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการถ่ายทอดการมีจิตสาธารณะจากแม่ไปสู่ลูก ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยในเวลานี้ต้องการเป็นอย่างมาก
ผู้เขียนเชื่อว่าทั้ง 5 ข้อที่กล่าวไปนั้นเป็นสิ่งที่คุณแม่ทุกคนคงทำได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรักความอบอุ่นกับลูก การทำตนเป็นคนทันสมัยไม่ตกยุค การเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก การเป็นแม่ที่มีอารมณ์ขันและการเป็นแม่ที่มีจิตสาธารณะ ล้วนแล้วแต่สร้างให้ลูกๆ ซึ่งเป็นเด็กไทยยุคใหม่เติบโตขึ้นเป็นคนที่ดีและมีคุณภาพของสังคมไทยได้อย่างแน่นอน สุขสันต์วันแม่ถึงท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน