เป็นเด็กไทยที่ได้รับความสนใจจากสื่อมากคนหนึ่งหลังจากออกรายการ "เช้าดูวูดดี้" สำหรับ เรนนี่-ปวีณรัตน์ วงศ์ประเสริฐ อายุ 16 ปี นักเรียนไทยที่สามารถทำข้อสอบได้คะแนนเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ซึ่งมี 2 รายวิชาด้วยกันคือ วิชาเศรษฐศาสตร์ และภูมิศาสตร์
ไม่แปลกที่สื่อต่าง ๆ จะให้ความสนใจสัมภาษณ์เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และรายการโทรทัศน์จำนวนมาก ทว่าสิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น และไม่ค่อยมีสื่อไหนล้วงลึกไปถึง ก็คือเบื้องหลังความเก่งที่ไม่ใช่แค่เรียนเก่งอย่างเดียว เธอยังรู้จักใช้ชีวิต คิดสร้างสรรค์ ทำงานเป็น และชอบทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมด้วย
M-Open สัปดาห์นี้ขอพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับสาวน้อยอัจฉริยะคนนี้ในหลายแง่มุมชีวิตที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
เด็กไทยสอบได้ที่ 1 ของโลก
กล่าวสำหรับการสอบได้ที่ 1 ของโลก เรนนี่ เริ่มต้นอธิบายให้ฟังว่า สมัยเรียนอยู่ Year 10-11 ทางโรงเรียนจะใช้หลักสูตรที่มีชื่อว่า IGCSE (International General Certificate of Secondary Education) โดยเรียน 5-14 วิชา เมื่อเรียนจบจะต้องสอบวัดระดับความรู้ในระบบนานาชาติของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า การสอบ IGCSE ซึ่งก็เป็นระดับที่เธอสามารถทำคะแนนได้เป็นที่ 1 ของโลกในวิชาเศรษฐศาสตร์และภูมิศาสตร์ รวมถึงได้คะแนนที่เป็นที่ 1 ของประเทศไทยในวิชาชีววิทยา เคมี และประวัติศาสตร์ด้วย
ปัจจุบัน เรนนี่เรียนอยู่ชั้น ม.5 (Year 12) โรงเรียนนานาชาติฮาโรว์ ซึ่งในระดับที่เธอเรียนอยู่นี้จะใช้หลักสูตรที่มีชื่อว่า A-Level โดยเรียนเพียง 3-4 วิชา เลือกวิชาที่สอดคล้องกับสาขาที่ต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เมื่อเรียนจบจะต้องสอบข้อสอบกลางให้ผ่าน แล้วเอาเกรดที่ได้ไปยื่นสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
แน่นอนว่า การสอบได้ที่ 1 ของโลก เป็นสิ่งที่ใครหลายคนอยากรู้เทคนิคการเรียน และนี่คือสิ่งที่ "เรนนี่" อยากจะแชร์ไปถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่อยู่ในวัยเรียนทุกคน
"คนส่วนใหญ่มักจะจำแบบระยะสั้น สอบครั้งหนึ่งก็อ่านทีหนึ่ง แบบนี้มันเป็นความจำระยะสั้นค่ะ พอสอบเสร็จก็ลืมแล้ว แต่ถ้าเกิดเราอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียนที่ครูสอนอยู่ทุกวัน ส่วนไหนไม่เข้าใจก็จดโน้ตไปถามครูที่โรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วที่โรงเรียนจะไม่ค่อยให้การบ้าน โดยเฉพาะในเด็กโต แต่จะพยายามให้เด็กหาการบ้านเองด้วยการอ่าน สงสัยอะไรให้จด รู้จักตั้งคำถาม เมื่ออ่าน ทบทวน และเกิดคำถามอยู่ตลอด สิ่งที่ได้อ่านก็จะเข้าไปอยู่ในความจำระยะยาว และนำไปใช้ได้ดีขึ้นค่ะ"
ยกตัวอย่างการสอบระดับนานาชาติที่ผ่านมา เธอเริ่มอ่านหนังสอบสือประมาณ 3 เดือนก่อนสอบ และอ่านมาเรื่อยๆ จดโน้ตเป็น Mind Map และเวลาอ่านเธอพูดกับตัวเอง ถามเองตอบเอง และก็จะฝึกทำข้อสอบของปีก่อนๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยในเรื่องความจำ และความเข้าใจได้เป็นอย่างดี
สำหรับหลักสูตรที่ "เรนนี่" เรียน เป็นหลักสูตรของประเทศอังกฤษ ที่ปัจจุบันนอกจากจะใช้ในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือและแคว้นเวลส์แล้ว ยังนิยมใช้ในโรงเรียนนานาชาติทั่วโลกอีกด้วย โดยในระดับมัธยมศึกษาจะอยู่ในช่วง Year 7-13
- Year 7-9 เน้นเรียนวิชาบังคับของโรงเรียน เช่น ภาษาอังกฤษ คณิต วิทย์ พละศึกษา ดนตรี ศิลปะ และวิชาอื่นๆ รวมประมาณ 10 วิชา
- Year 10-11 ใช้หลักสูตรที่มีชื่อว่า IGCSE โดยเรียน 5-14 วิชา ซึ่ง 5 วิชาจะต้องเรียนเป็นแบบพื้นฐาน ส่วนที่เหลือเลือกเรียนเป็นแบบขั้นสูง เมื่อเรียนจบจะต้องสอบข้อสอบกลางให้ผ่านโดยต้องได้เกรด C ขึ้นไป (เป็นระดับที่น้องเรนนี่ไปสอบและได้คะแนนเป็นที่ 1 ของโลกในวิชาเศรษฐศาสตร์และภูมิศาสตร์ รวมถึงได้คะแนนที่เป็นที่ 1 ของประเทศไทยในวิชาชีววิทยา เคมี และประวัติศาสตร์)
- Year 12-13 ใช้หลักสูตรที่มีชื่อว่า A-Level โดยเรียนเพียง 3-4 วิชา เลือกวิชาที่สอดคล้องกับสาขาที่ต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เมื่อเรียนจบจะต้องสอบข้อสอบกลางให้ผ่าน แล้วเอาเกรดที่ได้ไปยื่นสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
ไม่เพียงแต่ความเก่งในระดับโลกเท่านั้น เธอยังมีรางวัลการันตีความเก่งในระดับประเทศหลาย ๆ รางวัลด้วยกัน เริ่มจาก การแข่งขัน FedEx Junior Achievement International Trade Challenge (ประกวดแผนธุรกิจเยาวชนดีเด่น) เธอสามารถคว้าที่ 1 ของประเทศมาครองได้สำเร็จ นอกจากนี้ ยังได้ที่ 2 ของประเทศในการแข่งขัน Junior Achievement Company Program อีกด้วย
เก่งได้ ไม่พึ่ง "ติวเตอร์"
เมื่อถามลึกลงไปถึงความเก่ง เธอเป็นเด็กเก่งที่ไม่พึ่งระบบการสอนเสริมนอกชั้นเรียน หรือที่ใครหลายคนเรียกกันติดปากว่า "เรียนพิเศษ"
"เรนนี่ไม่ได้เรียนพิเศษเลยค่ะ เพราะส่วนตัวมองว่า การเรียนพิเศษ ส่วนหนึ่งทำให้ครูน้อยใจนะคะหนูว่า เพราะจริงๆ แล้วสงสัยตรงไหนก็เข้าไปถามครูได้ คุณครูก็นั่งว่างอยู่ หนูไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเรียนพิเศษเลยค่ะ คือถ้าเกิดว่า ไม่เข้าใจวิชานี้ แล้วอยากรู้เพิ่มก็ไปเรียนได้ แต่ไม่ใช่แบบ..ไม่ตั้งใจเรียนในห้อง แล้วพอจะสอบก็หาที่เรียนพิเศษกันให้วุ่น นี่ไม่ใช่การเรียนค่ะ แต่มันคือการสอบให้ผ่าน"
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เรนนี่ เผยความรู้สึกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจกับการเรียนพิเศษของเด็กไทยหลายคนที่เรียนจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน และทำกิจกรรมที่ชอบเลย
"เหนื่อนแทนนะคะพี่ เพราะเรียนมากก็เครียดมาก แถมยังเปลืองเงินอีกด้วย บางคนที่บอกว่า เรียนพิเศษเพราะครูสอนไม่ดี ตรงนี้น่าเสียดายมาก ๆ ที่ครูไม่สนใจ หรือใส่ใจนักเรียน ส่วนระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ตอนนี้ ขอไม่พูดถึงนะคะ เพราะเดี๋ยวจะแรงเกินไป" เธอบอก
กระนั้น เธอไม่ได้ชี้ชัดว่าการเรียนพิเศษเป็นสิ่งไม่จำเป็น แต่เธออยากให้ตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า การเรียนพิเศษ จำเป็นสำหรับตัวเราจริงๆ หรือไม่
"เรียนพิเศษไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเสมอไปค่ะ เพียงแต่ว่า เคยลองกลับมาถามหรือคิดกับตัวเองดูไหมว่า ที่เรียนไปทั้งหมด จำเป็นจริง ๆ เหรอ ลองลดลงได้ไหม ช่วยพ่อแม่ประหยัดเงินได้ไหม ไปถามครูแทนได้ไหม หรือลองเรียนด้วยตัวเองแทนได้ไหม" เรนนี่ฝากให้คิด
เป็นทั้งนักเรียน-นักกิจกรรม
ไม่เพียงแต่จะเป็น "นักเรียน" เธอยังเป็น "นักกิจกรรม" ด้วย เนื่องจากเธอเชื่อว่า นักเรียนใช่ว่าจะเรียนอยู่แต่ในห้องเรียนอย่างเดียว แต่นักเรียนต้องเป็นนักกิจกรรมด้วย ถึงจะเป็นผู้เรียนรู้อย่างแท้จริง ซึ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาตัวเองแล้ว ยังสามารถใช้ความเป็นนักกิจกรรม ช่วยเหลือสังคม และเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยโอกาส เช่น โรงเรียน หรือมูลนิธิต่าง ๆ ได้อีกด้วย
"ทุกวันนี้หนูจะอยู่ในกลุ่มนักเรียนที่คอยจัดงานต่าง ๆ ให้โรงเรียนค่ะ มีทำหนังสือรุ่น หรือบางทีมีแข่งขันทางวิชาการ หรือกีฬาสี หนูก็จะเข้าไปช่วยคุมเด็ก นอกจากนั้นยังได้ทำนิตยสารรายเดือนของโรงเรียน อยู่ในส่วนของกราฟิก และคอยหาสปอนเซอร์ เพราะเป็นนิตยสารที่เด็ก ๆ จะช่วยกันหาเงินพิมพ์เอง อีกทั้งยังเป็นมือเบสของวง ซึ่งเป็นวงที่ตั้งขึ้นกับเพื่อน ๆ ในโรงเรียน แล้วก็มีอีกวงกับเพื่อนโรงเรียนอื่นๆ ด้วยค่ะ" เธอบอก
เรนนี่ให้เหตุผลถึงการเป็นนักกิจกรรมว่า มาจากโรงเรียนที่สนับสนุนให้ทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะกิจกรรมนอกชั้นเรียน ซึ่งเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้มีส่วนร่วม
"ในแต่ละวัน หนูจะมีเรียนประมาณ 4 วิชา วิชาละ 1 ชั่วโมง 20 นาทีค่ะ ส่วนกิจกรรมนอกชั้นเรียนจะมีให้เด็กทำเยอะมาก โดยเฉพาะกิจกรรมจิตอาสา เช่น จัดอีเวนต์หาเงินไปบริจาคให้มูลนิธิต่างๆ อาทิ สร้างบ้าน สร้างอาคารเรียนในโรงเรียนที่ขาดแคลนหรือไม่ก็พาเด็ก ๆ มาทำกิจกรรมที่โรงเรียนโดยตัวหนู และเพื่อน ๆ จะช่วยกันสร้างความสนุก อย่างกิจกรรมที่ทำล่าสุดคือ กิจกรรมปั่นจักรยานจากปากเกร็ดไปอยุธยาเพื่อนำเงินไปช่วยบริจาคให้แก่มูลนิธิ ซึ่งนับเป็นกิจกรรมที่สนุก และได้ทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยค่ะ" เธอเล่า
เธอเผยต่อไปถึงประโยชน์จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยว่า กิจกรรมช่วยฝึกในเรื่องการจัดการเวลาได้ดี ทั้งยังช่วยฝึกตัวเองเวลาอยู่กับคนอื่น ฝึกเป็นผู้ฟัง และรู้จักแสดงความคิดเห็น ที่สำคัญ ยังเพิ่มทักษะด้านการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ นอกโรงเรียนด้วย
นี่คือสิ่งที่เรนนี่สะท้อนให้เห็นว่า การเรียนไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ หากมุ่งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว บางคนอาจสนุกกับมัน แต่ชีวิตจะขาดองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างไป ซึ่งเธอเป็นเด็กเรียนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคร่งเรียนอย่างเดียว
"ส่วนตัวคิดถ้าเรียนอย่างเดียวมันเครียดนะ ส่วนถ้าใครบอกสนุกก็แล้วแต่คนค่ะ แต่ถ้าได้ลองทำอย่างอื่นบ้างก็จะช่วยผ่อนคลายได้มากเลยค่ะ อย่างตัวเรนนี่เอง เรียนด้วย ทำกิจกรรมด้วย ทำให้หนูสนุก และอยากมาโรงเรียนทุกวัน เพราะชีวิตคนเรามันมีอะไรให้ทำมากกว่าเรียนในห้องเรียน จริงอยู่ที่ว่าเรียนคือเรื่องสำคัญ แต่บางสิ่งบางอย่างมันหาไม่ได้จากในหนังสือเรียน แต่มันแฝงอยู่ในกิจกรรมนอกห้องเรียน" เธอให้ทัศนะ
แบ่งเวลา สำคัญไฉน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแบ่งเวลาช่วยบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้ลงตัวอย่างเป็นระบบ เช่นเดียวกับเรนนี่ที่ให้ความสำคัญกับการแบ่งเวลามาก
"การทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง บางทีก็กินเวลาทบทวนหนังสือพอสมควร แต่หนูพยายามแบ่งเวลาเอาค่ะ กลับมาบ้านหนูจะมีสมุดจดรายการกิจกรรมที่ต้องทำในแต่ละวัน จากนั้นจะค่อย ๆ ทยอยทำ ไม่ได้จัดตารางแน่นๆ แต่จัดให้ยืดหยุ่นได้บ้าง เช่น หลังเลิกเรียน ถ้ามีงาน หรือกิจกรรมที่ต้องทำก็จะทำก่อน จากนั้นกลับหอ มาทบทวนบทเรียน ทำการบ้าน กินข้าวแล้วไปออกกำลังกายที่ยิม 1 ชั่วโมง ถึงห้องอาบน้ำเสร็จก็พาตัวเองเข้านอนเลย หรือบางวันอาจจะนอนดึกหน่อย เพราะนั่งทำงานอะไรไปเรื่อยเปื่อย" เรนนี่ขยายความ
ทุกวันนี้ แม้จะนอนดึก แต่เธอก็นอนอย่างเพียงพอ และตื่น 6.00 น.ไปถึงโรงเรียน 7.00 น.ทุกวัน ส่วนเสาร์ และอาทิตย์จะเป็นช่วงเวลาที่ได้กลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน
ส่วนเวลาว่าง เธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหนังสือฮาวทูต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Self motivation (แรงจูงใจในตนเอง) หรือ Plan management (การบริหารจัดการ) โดยเนื้อหาในหนังสือเหล่านี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียน และทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีทีเดียว ส่วนหนังสือวรรณกรรมเยาวชน เช่น แฮรี่ พอตเตอร์ หรือบทกวีต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งประเภทของหนังสือที่เธอชอบ เพราะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้ไม่น้อย
"หนังสือที่อ่านอยู่ทุกวันก็คือ เศรษฐศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ที่ต้องเตรียมอ่านเนื่องจากเวลาสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ควรจะต้องมีเรื่องคุยนอกเหนือไปจากความรู้ในตำราเรียนเพียงอย่างเดียวด้วยค่ะ"
บ้านนี้มีรักของสาวน้อยคนเก่ง
แน่นอนว่า การมีเธอในวันนี้ เรนนี่ไม่ได้เติบโตขึ้นมาเพียงลำพัง แต่ยังมีครอบครัวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญ ซึ่งมีอิทธิพลสำหรับชีวิตเธอมาก
"คุณแม่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินไทย ส่วนคุณพ่อทำธุรกิจเครือข่ายค่ะ หนูเติบโตในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่จะให้อิสระในการคิด ท่านทั้งสองไม่เคยบอกให้หนูต้องเป็นอะไร ทำอาชีพอะไร มีแต่จะสนับสนุน และแนะนำ แนะแนวบ้างในหลาย ๆ เรื่อง ส่วนถ้ามีปัญหาอะไร หนูสามารถคุยกับท่านได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เป็นลูกแล้วต้องฟังพ่อแม่อย่างเดียว แต่ที่บ้านเรา พ่อแม่พร้อมรับฟังความคิดของลูกเสมอ"
"อีกอย่าง คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยตีเลยค่ะ มีห้ามอยู่อย่างเดียวคือ ไม่ให้มีแฟน (หัวเราะ) เพราะท่านให้เหตุผลว่า มันยังไม่ถึงวัย ตอนนี้อยู่ในวัยเรียน ควรเรียน และฉวยเอาช่วงเวลาที่มีค่ากับครู เพื่อน และการทำกิจกรรมให้มากที่สุด อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อตัวเราเองในอนาคต ส่วนตัวตอนนี้เรื่องความรักไม่ได้ยุ่งเลยค่ะ เพราะทุกวันนี้แค่เรื่องเรียน และกิจกรรมก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่แล้ว ล้นไปหมดแล้วค่ะ (หัวเราะ" เธอเผย
ก้าวต่อไปของเรนนี่
เมื่อถามถึงอาชีพที่อยากทำ เธอบอกว่า ยังไม่มีภาพที่ชัดเจนในหัว แต่ถ้าถาม ณ ตอนนี้ สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในอนาคตคือ การได้ทำงานให้องค์กรใหญ่อย่างธนาคารโลก ส่วนเรื่องเรียน ได้มีการวางแผนไว้แล้วว่า หลังจบม.6 จะไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
"ตอนนี้วางแผนเรื่องเรียนคร่าว ๆ ร่วมกันกับคุณพ่อคุณแม่ไว้แล้วค่ะว่า จะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษค่ะ ไม่เศรษฐศาสตร์ก็วิศวะเคมีค่ะ แต่ตอนนี้เอียง ๆ ไปทางเศรษฐศาสตร์แล้วค่ะ (หัวเราะ) ส่วนเหตุผลที่เลือกไปเรียนต่อต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเพราะเรียนอินเตอร์มาตั้งแต่ ป.2 แล้วค่ะ ส่วนตัวก็เลยคิดว่า อยากได้ภาษา และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ อย่างประเทศอังกฤษ เขามีทรัพยากรที่ดีมาก คนจบออกมาก็มีคุณภาพมากทีเดียวค่ะ" เรนนี่เผย
ท้ายนี้ เธอฝากข้อคิดไว้อย่างน่าสนใจว่า อย่าหลงตัวเอง และคิดว่าเก่งที่สุดแล้ว เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า ดังนั้น เก่งแล้วต้องรับฟังผู้อื่นด้วย
"คนเก่งหลายคนมักจะอยู่กับคนอื่นไม่ได้ ส่วนตัวมองว่า ที่อยู่ไม่ได้เพราะเขาหลงตัวเองมากกว่าค่ะ ต้องเข้าใจว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด พยายามถ่อมตัวไว้บ้าง เวลาไปเจอคนที่เก่งกว่า เดี๋ยวจะรับไม่ได้ ที่จริงหนูก็จะไม่ได้คิดว่าตัวเองเรียนเก่งกว่าคนอื่น เพียงแต่แค่ขยันด้านการเรียนก็เท่านั้นเองค่ะ ที่สำคัญ หัดฟังผู้อื่นบ้าง ไม่ใช่เก่งแล้วไม่ฟังใครเลย" เธอฝาก
อ่านถึงบรรทัดนี้ "เรนนี่" ได้เปลี่ยนภาพเด็กเรียนในความคิดเดิม ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะจากบทสัมภาษณ์ในแง่มุมต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่า เด็กเรียนเก่ง ไอคิวสูง ไม่ใช่แค่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว แต่หมายถึงการรู้จักใช้ชีวิต คิดสร้างสรรค์ แถมยังทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น และสังคมอีกด้วย
นี่สิถึงเรียกว่าเด็กเก่ง และมีประโยชน์ตัวจริง
ข่าวโดย : ASTV ผู้จัดการ Lite
/////////////////////////
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : ปวีณรัตน์ วงศ์ประเสริฐ ชื่อเล่น : เรนนี่
อายุ : 16 ปี
การศึกษา : เรียนอยู่ชั้น ม.5 (Year 12) โรงเรียนนานาชาติฮาโรว์
ความสามารถพิเศษ : ทำกราฟิก และเป็นมือเบสประจำวงดนตรีที่เธอและเพื่อนๆ ตั้งขึ้นมา
เวลาว่าง : อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมต่าง ๆ
รางวัลการันตีความเก่ง : ที่ 1 ของประเทศในการแข่งขัน FedEx Junior Achievement International Trade Challenge (ประกวดแผนธุรกิจเยาวชนดีเด่น) และที่ 2 ของประเทศในการแข่งขัน Junior Achievement Company Program