ศธ.จ่อ! ขอแปรญัตติงบ 57 สูงกว่า 4 หมื่นล.“จาตุรนต์” สั่งองค์กรหลักเคลียร์เฉพาะโครงการสำคัญและเสนอใหม่สัปดาห์หน้า ขณะที่ สพฐ.งานเข้าถูกสั่งรื้อโครงการจัดซื้อรถตู้ ให้ไปเริ่มต้นคิดใหม่จาก “ศูนย์” ถ้าไม่ใช้รถตู้ใช้พาหนะใดแทนได้ และให้ตั้งโจทย์แก้ไขปัญหา ร.ร.ขนาดเล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่โจทย์การยุบไม่ยุบ
วันนี้ (4 ก.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับผู้บริหารองค์กรของ ศธ.เพื่อพิจารณาการเสนอขอแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2557 ว่า ในภาพรวมองค์กรหลักของ ศธ.ยกเว้นสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และหน่วยงานในกำกับ ได้เสนอขอแปรญัตติงบประมาณ ปี 2557 เพิ่มเติม รวมจำนวนทั้งสิ้น 41,197 ล้านบาท คิดเป็น 8.56% จำแนกเป็น สำนักปลัด ศธ. จำนวน 5,629 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 27,500 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 3,980 ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 5,467 ล้านบาท
“เวลานี้ยังไม่ทราบว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 พิจารณาปรับลดงบประมาณที่ ศธ.เสนอไปจำนวนเท่าไร จึงได้เชิญทุกหน่วยงานมาประชุมเพื่อชี้แจงถึงความจำเป็นในของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการโครงการต่างๆ โดยได้คำนึงว่าการขอแปรญัตติเพิ่มเติมควรจะเน้นในโครงการที่ต้องทำตามกฎหมายหรือตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือที่เกิดจากผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เช่น ดำเนินการในโรงเรียนรัฐบาลแล้วต้องทำเช่นเดียวกันในโรงเรียนเอกชนด้วย เป็นต้น นอกจากนั้นก็เป็นโครงการตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายของกระทรวงที่สำคัญ เพราะยอดที่ขอมานั้นเป็นยอดที่สูงมากกว่า 4 หมื่นล้านบาทและคงยากมากที่จะเป็นไปได้ที่จะแปรญัตติมาได้ แปรญญัตติคงแค่หลักพันแต่จะกี่พันไม่สามารถทราบได้” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาโครงการต่างๆ ของแต่ละหน่วยงานก็เห็นว่ายังมีโครงการจำเป็นๆ หลายโครงการและเป็นวงเงินที่สูง หลายโครงการเป็นเรื่องที่ต้องนำไปหารือกับรัฐบาลเพื่อนไปสู่การตัดสินใจ เช่น โครงการจัดซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในปีการศึกษา 2557 วงเงิน 2,400 กว่าล้านบาท รวมทั้งโครงการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วเชื่อมโยงไปยังโรงเรียน สพฐ.30,000 กว่าโรง วงเงิน 5,000 ล้านบาทซึ่งต้องไปพิจารณาดูว่าเรื่องนี้ควรเป็นภารกิจของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มากกว่าหรือไม่ แต่ทั้งสองโครงการก็เป็นงานที่ยาก เพราะถึงจะเป็นโครงการนโยบายแต่ก็ใช้วงเงินสูงมาก
ในส่วนของ สอศ.ได้ขอปรับเพิ่มรายหัวค่าจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนประตัวนักเรียน เป็น 1,600 บาทต่อคนต่อปี วงเงินประมาณ 736 ล้านบาท หรือโครงการแก้ไขปัญหาขาดแคลนครู 522 ล้านบาท การสร้างความพร้อมให้สถานศึกษาขนาดเล็กที่จะใช้เรียนระบบทวิภาคี จำนวน 210 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของ สกอ.มีโครงการสำคัญ ได้แก่ งบประมาณมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ที่ยังขาดงบประมาณอีก 400 ล้านบาท เป็นต้น นอกจากนี้ ในส่วนของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ที่จะเพิ่มศูนย์อาเซียนซึ่งต้องใช้งบประมาณ 400 กว่าล้านบาท แต่ถูกตัดไปเหลือเพียง 3 ล้านบาท จึงต้องไปดูในเชิงนโยบายจะดำเนินการเช่นไรต่อ และยังมีโครงการบ้านอัจฉริยะด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีโครงการดูแลครูที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้กว่า 100 รายที่ต้องได้รับเงินเยียวยา รายละ 4 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 600-700 ล้านบาทที่จะต้องทยอยจ่ายด้วย พร้อมกันนี้ได้ขอให้ผู้บริหารไปรับฟังความเห็นเพื่อนำมากำหนดโครงการพัฒนาการศึกษาของผู้เรียนใน จ.ชายแดนภาคใต้ให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ในส่วนการแก้ไขปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็กมอบ เลขาธิการ กพฐ.ไปตั้งโจทย์แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กมากๆ ห้องเรียนหนึ่งมีเด็กเรียน 4-5 ชั้นและมีครูน้อยมากจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร โดยควรฟังความเห็นของเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็ก แต่เฉพาะหน้าที่ต้องชี้แจงงบประมาณควรหาข้อสรุปขั้นต้นของการแก้ไขปัญหา โรงเรียนขนาดเล็กแต่ให้ไปตั้งโจทย์ใหม่ของการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ไม่ใช่ตั้งโจทย์ว่ายุบหรือไม่ยุบ
“ส่วนการจัดซื้อรถตู้นั้น ผมเป็นรองประธาน กมธ.เคยได้ฟังความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กเมื่อครั้งทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมาธิการ ซึ่งครั้งนั้น สพฐ.ชี้แจงว่าเพื่อแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กและงานอื่นๆ ด้วย จึงเสนอจัดซื้อรถตู้ 1,000 คันๆ ละ 1.2 ล้านบาท โดยในขั้น กมธ.ได้ขอให้มาพิจารณาถึงความจำเป็น แต่ในฐานะ รมว.ศึกษาธิการ ให้ไปพิจารณาเรื่องรถตู้โดย พิจารณาว่ายังจำเป็นต้องใช้ยานพานะประเภทใด วิธีดูแลเด็ก ครูจะใช้วิธีการเช่นไร หรือจะทำเป็นคูปองเพื่อเป็นค่าพาหนะ และหากยังมีหน่วยงานที่ต้องใช้รถตู้หรือไม่อย่างให้คิดมา โดยให้เริ่มคิดจากศูนย์ว่าถ้าไม่ใช้รถตู้จะใช้วิธีอื่นอย่างไร ไม่ใช่เริ่มคิดจากพันกว่าคันและจะลดลงกี่คัน และยังจำเป็นต้องใช้กี่คัน และสรุปเสนอสัปดาห์หน้า”นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า ในอนาคตตนจะหาผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารทรัพยากรและงบประมาณ มาช่วยปรับโครงสร้างการใช้งบของกระทรวงให้เดินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (4 ก.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับผู้บริหารองค์กรของ ศธ.เพื่อพิจารณาการเสนอขอแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2557 ว่า ในภาพรวมองค์กรหลักของ ศธ.ยกเว้นสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และหน่วยงานในกำกับ ได้เสนอขอแปรญัตติงบประมาณ ปี 2557 เพิ่มเติม รวมจำนวนทั้งสิ้น 41,197 ล้านบาท คิดเป็น 8.56% จำแนกเป็น สำนักปลัด ศธ. จำนวน 5,629 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 27,500 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 3,980 ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 5,467 ล้านบาท
“เวลานี้ยังไม่ทราบว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 พิจารณาปรับลดงบประมาณที่ ศธ.เสนอไปจำนวนเท่าไร จึงได้เชิญทุกหน่วยงานมาประชุมเพื่อชี้แจงถึงความจำเป็นในของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการโครงการต่างๆ โดยได้คำนึงว่าการขอแปรญัตติเพิ่มเติมควรจะเน้นในโครงการที่ต้องทำตามกฎหมายหรือตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือที่เกิดจากผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เช่น ดำเนินการในโรงเรียนรัฐบาลแล้วต้องทำเช่นเดียวกันในโรงเรียนเอกชนด้วย เป็นต้น นอกจากนั้นก็เป็นโครงการตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายของกระทรวงที่สำคัญ เพราะยอดที่ขอมานั้นเป็นยอดที่สูงมากกว่า 4 หมื่นล้านบาทและคงยากมากที่จะเป็นไปได้ที่จะแปรญัตติมาได้ แปรญญัตติคงแค่หลักพันแต่จะกี่พันไม่สามารถทราบได้” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาโครงการต่างๆ ของแต่ละหน่วยงานก็เห็นว่ายังมีโครงการจำเป็นๆ หลายโครงการและเป็นวงเงินที่สูง หลายโครงการเป็นเรื่องที่ต้องนำไปหารือกับรัฐบาลเพื่อนไปสู่การตัดสินใจ เช่น โครงการจัดซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในปีการศึกษา 2557 วงเงิน 2,400 กว่าล้านบาท รวมทั้งโครงการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วเชื่อมโยงไปยังโรงเรียน สพฐ.30,000 กว่าโรง วงเงิน 5,000 ล้านบาทซึ่งต้องไปพิจารณาดูว่าเรื่องนี้ควรเป็นภารกิจของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มากกว่าหรือไม่ แต่ทั้งสองโครงการก็เป็นงานที่ยาก เพราะถึงจะเป็นโครงการนโยบายแต่ก็ใช้วงเงินสูงมาก
ในส่วนของ สอศ.ได้ขอปรับเพิ่มรายหัวค่าจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนประตัวนักเรียน เป็น 1,600 บาทต่อคนต่อปี วงเงินประมาณ 736 ล้านบาท หรือโครงการแก้ไขปัญหาขาดแคลนครู 522 ล้านบาท การสร้างความพร้อมให้สถานศึกษาขนาดเล็กที่จะใช้เรียนระบบทวิภาคี จำนวน 210 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของ สกอ.มีโครงการสำคัญ ได้แก่ งบประมาณมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ที่ยังขาดงบประมาณอีก 400 ล้านบาท เป็นต้น นอกจากนี้ ในส่วนของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ที่จะเพิ่มศูนย์อาเซียนซึ่งต้องใช้งบประมาณ 400 กว่าล้านบาท แต่ถูกตัดไปเหลือเพียง 3 ล้านบาท จึงต้องไปดูในเชิงนโยบายจะดำเนินการเช่นไรต่อ และยังมีโครงการบ้านอัจฉริยะด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีโครงการดูแลครูที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้กว่า 100 รายที่ต้องได้รับเงินเยียวยา รายละ 4 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 600-700 ล้านบาทที่จะต้องทยอยจ่ายด้วย พร้อมกันนี้ได้ขอให้ผู้บริหารไปรับฟังความเห็นเพื่อนำมากำหนดโครงการพัฒนาการศึกษาของผู้เรียนใน จ.ชายแดนภาคใต้ให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ในส่วนการแก้ไขปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็กมอบ เลขาธิการ กพฐ.ไปตั้งโจทย์แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กมากๆ ห้องเรียนหนึ่งมีเด็กเรียน 4-5 ชั้นและมีครูน้อยมากจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร โดยควรฟังความเห็นของเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็ก แต่เฉพาะหน้าที่ต้องชี้แจงงบประมาณควรหาข้อสรุปขั้นต้นของการแก้ไขปัญหา โรงเรียนขนาดเล็กแต่ให้ไปตั้งโจทย์ใหม่ของการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ไม่ใช่ตั้งโจทย์ว่ายุบหรือไม่ยุบ
“ส่วนการจัดซื้อรถตู้นั้น ผมเป็นรองประธาน กมธ.เคยได้ฟังความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กเมื่อครั้งทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมาธิการ ซึ่งครั้งนั้น สพฐ.ชี้แจงว่าเพื่อแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กและงานอื่นๆ ด้วย จึงเสนอจัดซื้อรถตู้ 1,000 คันๆ ละ 1.2 ล้านบาท โดยในขั้น กมธ.ได้ขอให้มาพิจารณาถึงความจำเป็น แต่ในฐานะ รมว.ศึกษาธิการ ให้ไปพิจารณาเรื่องรถตู้โดย พิจารณาว่ายังจำเป็นต้องใช้ยานพานะประเภทใด วิธีดูแลเด็ก ครูจะใช้วิธีการเช่นไร หรือจะทำเป็นคูปองเพื่อเป็นค่าพาหนะ และหากยังมีหน่วยงานที่ต้องใช้รถตู้หรือไม่อย่างให้คิดมา โดยให้เริ่มคิดจากศูนย์ว่าถ้าไม่ใช้รถตู้จะใช้วิธีอื่นอย่างไร ไม่ใช่เริ่มคิดจากพันกว่าคันและจะลดลงกี่คัน และยังจำเป็นต้องใช้กี่คัน และสรุปเสนอสัปดาห์หน้า”นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า ในอนาคตตนจะหาผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารทรัพยากรและงบประมาณ มาช่วยปรับโครงสร้างการใช้งบของกระทรวงให้เดินไปอย่างมีประสิทธิภาพ