หัวหน้าชุดเฉพาะกิจเมืองนครฯ ยันตำรวจจำเป็นต้องเข้มเมาแล้วขับ ขณะที่ภาคประชาชนเชียร์ตำรวจเข้มกฎหมายคุมน้ำเมา ติงผู้ประกอบการร้านเหล้าอย่าเลยธง อยู่เหนือกฎหมาย ชีวิตประชาชนต้องอยู่เหนือผลประโยชน์น้ำเมา
จากกรณีที่ผู้ประกอบการค้าอาหารจังหวัดนครศรีธรรมราชเคลื่อนไหวเพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ผ่อนปรนการตั้งด่านตรวจจับแอลกอฮอล์ โดยอ้างว่าส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวและประชาชนลดลง ไม่กล้าเข้ามาใช้บริการ โดยก่อนหน้านี้ได้ล่ารายชื่อผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งเพื่อยื่นขอความเป็นธรรมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
วันนี้ (12 มิ.ย.) นายวรวุฒิ ประสานพงษ์ หัวหน้าชุดเฉพาะกิจเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการเข้มงวดบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ได้เน้นเรื่องการตั้งด่านสกัดคนเมาแล้วขับมาอย่างต่อเนื่อง เพราะก่อนหน้านี้ได้เกิดอุบัติเหตุคนเมาแล้วขับพุ่งชนอาสาสมัครตำรวจดีเด่นขณะตั้งด่านจนเสียชีวิต รวมถึงมีอุบัติเหตุเมาแล้วขับเกิดขึ้นมาแล้ว สร้างความสูญเสียทั้งต่อผู้ขับและผู้สัญจรผ่านไปมา
“สิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องเข้มงวดไม่ละเลยกฎหมาย ซึ่งเราไม่ได้กีดกันผู้ประกอบการและยินดีรับฟังความคิดเห็น แต่ต้องอยู่ในกฎระเบียบ เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน ยืนยันว่าไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ แต่เราทำตามกฎหมายเพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุ อาชญากรรม และปัญหาของเยาวชนที่ตามมามากมาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะกวดขันต่อไป โดยเฉพาะช่วงเวลาเปิดให้บริการ การห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และการจำหน่ายสุราโดยไม่มีใบอนุญาต เราเชื่อว่ายังมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ทำตามกฎหมายและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม” นายวรวุฒิ กล่าว
หัวหน้าชุดเฉพาะกิจฯ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาผู้ที่ถูกจับในคดีเมาแล้วขับส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคนที่ดื่มในสถานประกอบการ เพราะก่อนออกจากร้านจะมีการแนะนำเส้นทางเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ดังนั้นการอ้างว่าขาดรายได้ หรือต้องการยกระดับความรุนแรงเพื่อกดดันเจ้าหน้าที่ก็ควรทำให้อยู่ในขอบเขตความถูกต้อง ยอมรับกติกาของกฎหมายด้วย อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะคนทำงาน ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทุกภาคส่วนที่ออกมาจัดระเบียบสังคมอย่าท้อแท้ ขอให้ยืนหยัดร่วมกันเพื่อลดความสูญเสียต่อผู้ที่สัญจรไปมา ซึ่งคนนครฯคงรับไม่ได้หากมีการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่เคารพกฎกติกาสังคม
ด้านนายชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ถือว่ามีผู้ทำผิดกฎหมาย จึงถูกดำเนินคดี แต่การบอกว่าอาจจะถึงขั้นเผาโรงพักเหมือนในอดีต ตรงนี้ถือว่าเลยธงเป็นการข่มขู่เจ้าพนักงาน ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งหากตำรวจละเลยก็จะผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นจึงอยากให้มองและเห็นแก่ประโยชน์สังคมเป็นหลัก ไม่ใช่อ้างเสรีภาพหรือผลประโยชน์ของตัวเอง คำถามคือเวลาลูกค้าของตัวเองเมาแล้วไปเกิดอุบัติเหตุเจ็บตาย ผู้ประกอบการเคยออกมารับผิดชอบบ้างหรือไม่ ในต่างประเทศหากเกิดเหตุร้านขายเหล้านั้นต้องร่วมรับผิดชอบด้วย และกฎหมายเมาแล้วขับเขาเข้มกว่าเรามาก สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเด็กและเยาวชนที่ต้องถูกมอมเมา มีนักดื่มหน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ คงไม่มีใครอยากให้ลูกหลานเป็นคอเหล้ากันหมด”
“ส่วนที่อ้างเรื่องการท่องเที่ยวเป็นความจริงแค่ส่วนเดียว มีหลักฐานการวิจัยทั้งในและต่างประเทศว่า ยิ่งมีการควบคุมไม่มีคนเมาเกินเหตุ ยิ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ถือว่ามาถูกทาง ควรได้รับการยกย่อง และถือเป็นพื้นที่แบบอย่างที่ควรนำไปปฏิบัติกับพื้นที่อื่นๆ ด้วยซ้ำ ทั้งนี้ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองที่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ควรส่งเสริมและขอให้รักษากฎหมายทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป ” นายชูวิทย์ กล่าว
จากกรณีที่ผู้ประกอบการค้าอาหารจังหวัดนครศรีธรรมราชเคลื่อนไหวเพื่อกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ผ่อนปรนการตั้งด่านตรวจจับแอลกอฮอล์ โดยอ้างว่าส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวและประชาชนลดลง ไม่กล้าเข้ามาใช้บริการ โดยก่อนหน้านี้ได้ล่ารายชื่อผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งเพื่อยื่นขอความเป็นธรรมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด
วันนี้ (12 มิ.ย.) นายวรวุฒิ ประสานพงษ์ หัวหน้าชุดเฉพาะกิจเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการเข้มงวดบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ได้เน้นเรื่องการตั้งด่านสกัดคนเมาแล้วขับมาอย่างต่อเนื่อง เพราะก่อนหน้านี้ได้เกิดอุบัติเหตุคนเมาแล้วขับพุ่งชนอาสาสมัครตำรวจดีเด่นขณะตั้งด่านจนเสียชีวิต รวมถึงมีอุบัติเหตุเมาแล้วขับเกิดขึ้นมาแล้ว สร้างความสูญเสียทั้งต่อผู้ขับและผู้สัญจรผ่านไปมา
“สิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องเข้มงวดไม่ละเลยกฎหมาย ซึ่งเราไม่ได้กีดกันผู้ประกอบการและยินดีรับฟังความคิดเห็น แต่ต้องอยู่ในกฎระเบียบ เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน ยืนยันว่าไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ แต่เราทำตามกฎหมายเพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุ อาชญากรรม และปัญหาของเยาวชนที่ตามมามากมาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะกวดขันต่อไป โดยเฉพาะช่วงเวลาเปิดให้บริการ การห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และการจำหน่ายสุราโดยไม่มีใบอนุญาต เราเชื่อว่ายังมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ทำตามกฎหมายและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม” นายวรวุฒิ กล่าว
หัวหน้าชุดเฉพาะกิจฯ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาผู้ที่ถูกจับในคดีเมาแล้วขับส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคนที่ดื่มในสถานประกอบการ เพราะก่อนออกจากร้านจะมีการแนะนำเส้นทางเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ดังนั้นการอ้างว่าขาดรายได้ หรือต้องการยกระดับความรุนแรงเพื่อกดดันเจ้าหน้าที่ก็ควรทำให้อยู่ในขอบเขตความถูกต้อง ยอมรับกติกาของกฎหมายด้วย อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะคนทำงาน ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทุกภาคส่วนที่ออกมาจัดระเบียบสังคมอย่าท้อแท้ ขอให้ยืนหยัดร่วมกันเพื่อลดความสูญเสียต่อผู้ที่สัญจรไปมา ซึ่งคนนครฯคงรับไม่ได้หากมีการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่เคารพกฎกติกาสังคม
ด้านนายชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ถือว่ามีผู้ทำผิดกฎหมาย จึงถูกดำเนินคดี แต่การบอกว่าอาจจะถึงขั้นเผาโรงพักเหมือนในอดีต ตรงนี้ถือว่าเลยธงเป็นการข่มขู่เจ้าพนักงาน ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งหากตำรวจละเลยก็จะผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นจึงอยากให้มองและเห็นแก่ประโยชน์สังคมเป็นหลัก ไม่ใช่อ้างเสรีภาพหรือผลประโยชน์ของตัวเอง คำถามคือเวลาลูกค้าของตัวเองเมาแล้วไปเกิดอุบัติเหตุเจ็บตาย ผู้ประกอบการเคยออกมารับผิดชอบบ้างหรือไม่ ในต่างประเทศหากเกิดเหตุร้านขายเหล้านั้นต้องร่วมรับผิดชอบด้วย และกฎหมายเมาแล้วขับเขาเข้มกว่าเรามาก สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเด็กและเยาวชนที่ต้องถูกมอมเมา มีนักดื่มหน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ คงไม่มีใครอยากให้ลูกหลานเป็นคอเหล้ากันหมด”
“ส่วนที่อ้างเรื่องการท่องเที่ยวเป็นความจริงแค่ส่วนเดียว มีหลักฐานการวิจัยทั้งในและต่างประเทศว่า ยิ่งมีการควบคุมไม่มีคนเมาเกินเหตุ ยิ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ถือว่ามาถูกทาง ควรได้รับการยกย่อง และถือเป็นพื้นที่แบบอย่างที่ควรนำไปปฏิบัติกับพื้นที่อื่นๆ ด้วยซ้ำ ทั้งนี้ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองที่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ควรส่งเสริมและขอให้รักษากฎหมายทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป ” นายชูวิทย์ กล่าว