“พงศ์เทพ” ย้ำชัด ผอ.โรงเรียนสามารถเพิกถอนการบรรจุครูผู้ช่วย 344 ราย ที่ทุจริตออกจากตำแหน่งตามมติของ ก.ค.ศ.ได้ทันที ไม่ต้องกังวล เผยพร้อมให้ 4 ผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ.ที่เข้าข่ายถูกสอบวินัยร้ายแรงได้ชี้แจง
จากกรณีที่ ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีมติให้ทำหนังสือแจ้งไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา 119 เขต เพื่อให้ผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้งพิจารณาการเพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว 12 จำนวน 344 ราย ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง ก.ค.ศ.และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เนื่องจากเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นกระทำการเข้าข่ายทุจริตในการทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกันและมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทาง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ยังเห็นว่ามติดังกล่าวมีความไม่ชัดเจน และต้องการให้ ก.ค.ศ.มีคำสั่งให้ดำเนินการเพิกถอนอย่างเป็นทางการ
วันนี้ (19 พ.ค.) ที่ จ.เชียงใหม่ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว ว่า มติ ก.ค.ศ.เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา มีความชัดเจนและจะทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้ง ซึ่งก็คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนมั่นใจในการดำเนินการตามมติ ก.ค.ศ.ได้มากขึ้น เพราะหนังสือของ ก.ค.ศ.ระบุชัดว่าให้ผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้งดำเนินการเพิกถอนทั้ง 344 รายให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากเหตุการทุจริตการสอบซึ่งถือเป็นความไม่เหมาะสมในการจะเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมตินี้ถือเป็นข้อมูลที่ทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้มีอำนาจในการบรรจุแต่งตั้งดำเนินการตามมาตรา 49 ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวล
“ผมคิดว่าสาเหตุที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ยังไม่มั่นใจเพราะหนังสือของ ก.ค.ศ.ยังไปไม่ถึงแต่ยืนยันว่ามติของ ก.ค.ศ.ชัดเจนกว่าหนังสือของดีเอสไอ ที่ส่งไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เชื่อว่าเมื่อ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เห็นหนังสือของ ก.ค.ศ.จะมีความมั่นใจที่จะดำเนินการตามมติมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ รอดูรายละเอียดในหนังสือของ ก.ค.ศ.ก่อน ไม่อยากให้ไปกังวลมากเกินไป” นายพงศ์เทพ กล่าว
นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตสอบครูผู้ช่วย ที่มีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ.เป็นประธาน ได้เสนอให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายไกร เกษทัน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบงานบริหารบุคคลและนิติกร สพฐ.และ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพิ่งมีมติแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจราชการ ศธ.ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ราชการเสียหายร้ายแรง ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารคำให้การของนายพิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ.ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดของ ศธ.ซึ่งได้มีการสรุปเสนอ ให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงกับผู้บริหาร สพฐ.3 ราย ประกอบด้วย นายชินภัทร นายอนันต์ และนายไกร เพราะมีมูลสงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิดวินัยกรณีละเลยหรือจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น ขณะนี้ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วย ศธ.ยังไม่ได้รายงานผลสืบสวนฯชุดที่มี นางพนิตา เป็นประธานมายังตน แต่ในเบื้องต้นเมื่อได้รับข้อมูลแล้ว จะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงในกรณีที่มีข้อมูลอ้างอิงถึง ว่าเจ้าตัวละเลยการปฏิบัติหน้าที่จริงหรือไม่ เพื่อให้ข้อมูลมีความสมบูรณ์ เชื่อว่าเมื่อนายเสริมศักดิ์ได้รับผลการสืบสวนของคณะกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว เร็วๆ นี้ คงจะนำเข้ามาหารือกับตน เพราะอำนาจการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับสูงถือเป็นอำนาจของ รมว.ศึกษาธิการ โดยตรง
ต่อข้อถามว่า หากจะต้องตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับ 10 และ 11 จริงๆ จะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ เพื่อให้กระทบต่อการสอบสวน นายพงศ์เทพ กล่าวว่า กฎหมายไม่ได้บังคับไว้ว่าถ้าถูกสอบสวนทางวินัยร้ายแรงแล้วจะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะการสอบสวนจะต้องดูข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องที่สามารถอ้างอิงถึงกันอย่างรอบด้าน
จากกรณีที่ ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีมติให้ทำหนังสือแจ้งไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา 119 เขต เพื่อให้ผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้งพิจารณาการเพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว 12 จำนวน 344 ราย ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง ก.ค.ศ.และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เนื่องจากเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นกระทำการเข้าข่ายทุจริตในการทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกันและมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทาง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ยังเห็นว่ามติดังกล่าวมีความไม่ชัดเจน และต้องการให้ ก.ค.ศ.มีคำสั่งให้ดำเนินการเพิกถอนอย่างเป็นทางการ
วันนี้ (19 พ.ค.) ที่ จ.เชียงใหม่ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว ว่า มติ ก.ค.ศ.เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา มีความชัดเจนและจะทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้ง ซึ่งก็คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนมั่นใจในการดำเนินการตามมติ ก.ค.ศ.ได้มากขึ้น เพราะหนังสือของ ก.ค.ศ.ระบุชัดว่าให้ผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้งดำเนินการเพิกถอนทั้ง 344 รายให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากเหตุการทุจริตการสอบซึ่งถือเป็นความไม่เหมาะสมในการจะเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมตินี้ถือเป็นข้อมูลที่ทำให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้มีอำนาจในการบรรจุแต่งตั้งดำเนินการตามมาตรา 49 ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวล
“ผมคิดว่าสาเหตุที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ยังไม่มั่นใจเพราะหนังสือของ ก.ค.ศ.ยังไปไม่ถึงแต่ยืนยันว่ามติของ ก.ค.ศ.ชัดเจนกว่าหนังสือของดีเอสไอ ที่ส่งไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เชื่อว่าเมื่อ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เห็นหนังสือของ ก.ค.ศ.จะมีความมั่นใจที่จะดำเนินการตามมติมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ รอดูรายละเอียดในหนังสือของ ก.ค.ศ.ก่อน ไม่อยากให้ไปกังวลมากเกินไป” นายพงศ์เทพ กล่าว
นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตสอบครูผู้ช่วย ที่มีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ.เป็นประธาน ได้เสนอให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายไกร เกษทัน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบงานบริหารบุคคลและนิติกร สพฐ.และ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพิ่งมีมติแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจราชการ ศธ.ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ราชการเสียหายร้ายแรง ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารคำให้การของนายพิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ.ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดของ ศธ.ซึ่งได้มีการสรุปเสนอ ให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงกับผู้บริหาร สพฐ.3 ราย ประกอบด้วย นายชินภัทร นายอนันต์ และนายไกร เพราะมีมูลสงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิดวินัยกรณีละเลยหรือจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น ขณะนี้ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วย ศธ.ยังไม่ได้รายงานผลสืบสวนฯชุดที่มี นางพนิตา เป็นประธานมายังตน แต่ในเบื้องต้นเมื่อได้รับข้อมูลแล้ว จะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงในกรณีที่มีข้อมูลอ้างอิงถึง ว่าเจ้าตัวละเลยการปฏิบัติหน้าที่จริงหรือไม่ เพื่อให้ข้อมูลมีความสมบูรณ์ เชื่อว่าเมื่อนายเสริมศักดิ์ได้รับผลการสืบสวนของคณะกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว เร็วๆ นี้ คงจะนำเข้ามาหารือกับตน เพราะอำนาจการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับสูงถือเป็นอำนาจของ รมว.ศึกษาธิการ โดยตรง
ต่อข้อถามว่า หากจะต้องตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการระดับ 10 และ 11 จริงๆ จะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ เพื่อให้กระทบต่อการสอบสวน นายพงศ์เทพ กล่าวว่า กฎหมายไม่ได้บังคับไว้ว่าถ้าถูกสอบสวนทางวินัยร้ายแรงแล้วจะต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะการสอบสวนจะต้องดูข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องที่สามารถอ้างอิงถึงกันอย่างรอบด้าน