อุทาหรณ์! หนุ่มทำดีท็อกซ์สวนทวารตาย สธ.ล้อมคอกออกโรงเตือน 7 กลุ่มผู้ป่วยเกี่ยวกับลำไส้ห้ามทำเด็ดขาด อาจถึงตายได้ หากคนทั่วไปจะทำต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ห้ามกางตำราทำเอง แนะวิธีขับพิษที่ดีและปลอดภัยที่สุดคือ กินผัก ผลไม้ เพิ่มกากใย ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกาย
วันนี้ (9 พ.ค.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีชายวัย 47 ปี จ.ปทุมธานี เสียชีวิตหลังทำดีท็อกซ์สวนล้างลำไส้ จนทำให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่มากเกินไปจนช็อก หมดสติ และเสียชีวิต เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า กรณีนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ให้ประชาชนระมัดระวังในการทำดีท็อกซ์ (Detoxification) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เพราะมีความเชื่อและบอกปากต่อปากกันว่า ช่วยลดน้ำหนัก ลดหน้าท้อง เพิ่มความสวยงามผิวพรรณ และขับสารพิษจากร่างกายทางอุจจาระ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ปัญหาระบบขับถ่าย ซึ่งข้อเท็จจริงการดีท็อกซ์เป็นวิธีล้างพิษของการแพทย์ทางเลือก โดยการสวนล้างลำไส้ อาจใช้น้ำอย่างเดียว หรือใช้น้ำร่วมกับสารบางอย่าง เช่น กาแฟ เพื่อทำให้เกิดการขับสารพิษออกจากร่างกาย แต่จะต้องทำด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการอบรมเท่านั้น
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า การดีท็อกซ์ห้ามทำใน 7 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบลำไส้ใหญ่ เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบ อุดตัน มะเร็งลำไส้ เพราะเมื่อใส่น้ำเข้าไปจะทำให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้น อาจทำให้ลำไส้แตกและเสียชีวิตได้ 2.ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลำไส้ โดยเปิดลำไส้ให้ขับถ่ายทางหน้าท้อง 3.ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงรุนแรง 4.เด็ก 5.สตรีมีครรภ์ 6.ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียมาก และ 7.ผู้ป่วยช่องท้องอักเสบ อย่างไรก็ตาม ตนได้มอบหมายให้สำนักการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเรื่องผลดีและผลเสียของการทำดีท็อกซ์ด้วยตนเอง เนื่องจากอาจเกิดอันตราย ทั้งจากความร้อนของน้ำที่ใช้ รวมทั้งความเข้มข้นของเกลือแร่ หรือกาแฟที่อยู่ในน้ำที่ใช้สวนล้างลำไส้ การอ่านตำราแล้วทำตามเป็นวิธีการที่ไม่แนะนำ
ด้าน นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า การทำดีท็อกซ์จะใช้ในกรณีการสวนล้างลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง จะต้องอยู่ในความดูแลและได้รับการแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีขั้นตอนการทำตามหลักการแพทย์ ทั้งนี้ วิธีการขับพิษจากร่างกายที่ดีและปลอดภัยที่สุดคือ การป้องกันท้องผูกโดยไม่ต้องพึ่งการดีท็อกซ์ สามารถทำได้โดยการออกกำลังกายเพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำวันละไม่ต่ำกว่า 8 แก้ว เพื่อให้ระบบการขับถ่ายปกติ ดังนั้น จึงไม่ควรเลือกใช้การสวนล้างลำไส้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาท้องผูกที่ปลายทาง หากต้องสวนล้างลำไส้ขอให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก ไม่ควรทำเองจะเกิดอันตรายได้ โดยสามารถปรึกษาได้ที่สำนักการแพทย์ทางเลือก โทร.0-2965-9194 ในวันและเวลาราชการ
วันนี้ (9 พ.ค.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีชายวัย 47 ปี จ.ปทุมธานี เสียชีวิตหลังทำดีท็อกซ์สวนล้างลำไส้ จนทำให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่มากเกินไปจนช็อก หมดสติ และเสียชีวิต เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า กรณีนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ให้ประชาชนระมัดระวังในการทำดีท็อกซ์ (Detoxification) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เพราะมีความเชื่อและบอกปากต่อปากกันว่า ช่วยลดน้ำหนัก ลดหน้าท้อง เพิ่มความสวยงามผิวพรรณ และขับสารพิษจากร่างกายทางอุจจาระ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ปัญหาระบบขับถ่าย ซึ่งข้อเท็จจริงการดีท็อกซ์เป็นวิธีล้างพิษของการแพทย์ทางเลือก โดยการสวนล้างลำไส้ อาจใช้น้ำอย่างเดียว หรือใช้น้ำร่วมกับสารบางอย่าง เช่น กาแฟ เพื่อทำให้เกิดการขับสารพิษออกจากร่างกาย แต่จะต้องทำด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการอบรมเท่านั้น
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า การดีท็อกซ์ห้ามทำใน 7 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบลำไส้ใหญ่ เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบ อุดตัน มะเร็งลำไส้ เพราะเมื่อใส่น้ำเข้าไปจะทำให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้น อาจทำให้ลำไส้แตกและเสียชีวิตได้ 2.ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลำไส้ โดยเปิดลำไส้ให้ขับถ่ายทางหน้าท้อง 3.ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงรุนแรง 4.เด็ก 5.สตรีมีครรภ์ 6.ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียมาก และ 7.ผู้ป่วยช่องท้องอักเสบ อย่างไรก็ตาม ตนได้มอบหมายให้สำนักการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเรื่องผลดีและผลเสียของการทำดีท็อกซ์ด้วยตนเอง เนื่องจากอาจเกิดอันตราย ทั้งจากความร้อนของน้ำที่ใช้ รวมทั้งความเข้มข้นของเกลือแร่ หรือกาแฟที่อยู่ในน้ำที่ใช้สวนล้างลำไส้ การอ่านตำราแล้วทำตามเป็นวิธีการที่ไม่แนะนำ
ด้าน นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า การทำดีท็อกซ์จะใช้ในกรณีการสวนล้างลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง จะต้องอยู่ในความดูแลและได้รับการแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีขั้นตอนการทำตามหลักการแพทย์ ทั้งนี้ วิธีการขับพิษจากร่างกายที่ดีและปลอดภัยที่สุดคือ การป้องกันท้องผูกโดยไม่ต้องพึ่งการดีท็อกซ์ สามารถทำได้โดยการออกกำลังกายเพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำวันละไม่ต่ำกว่า 8 แก้ว เพื่อให้ระบบการขับถ่ายปกติ ดังนั้น จึงไม่ควรเลือกใช้การสวนล้างลำไส้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาท้องผูกที่ปลายทาง หากต้องสวนล้างลำไส้ขอให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก ไม่ควรทำเองจะเกิดอันตรายได้ โดยสามารถปรึกษาได้ที่สำนักการแพทย์ทางเลือก โทร.0-2965-9194 ในวันและเวลาราชการ