“สมคิด” เตรียมหารือกับอธิบดีดีเอสไอช่วยตรวจสอบเว็บไซต์รับจ้างทำวิทยานิพนธ์ เผยในอนาคตเล็งออกใบรับรองการันตีไม่ได้หลอกสมองคนอื่น ขณะที่จุฬาฯพัฒนาเครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์ภาษาไทยเพื่อใช้กันคัดลอกผลงานทางวิชาการ คาดเริ่มใช้เดือนกรกฎคมนี้
ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีที่ ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีการรับจ้างทำดุษฎีนิพนธ์ ของปริญญาเอก ทุกสาขาวิชาทั่วประเทศ ประกาศผ่านทางเว็บไซต์ www.researchthailand.com ที่จะมีรายละเอียด ทั้งช่องทางติดต่อผู้รับจ้าง ซึ่งอ้างชื่อว่าเป็นหัวหน้าทีมวิจัย หลักสูตรระดับดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่รับทำ ทั้งยังมีข้อความเชิงการันตีคุณภาพผลงานที่รับจ้าง อาทิ ทีมงานเราประกอบไปด้วย อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษาปริญญาเอกหลากหลายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมมีผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่า 10 ท่าน ซึ่งมีประสบการณ์ในงานวิจัยมากกว่า 20 ปี เป็นต้น และเตรียมจะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อหาทางแก้ไข ว่า ทุกมหาวิทยาลัยพยายามจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาอย่างเข้มข้น ทั้งการสัมภาษณ์หากเป็นผลงานของนักศึกษาจริงก็จะต้องตอบโต้ได้ และมหาวิทยาลัยพอจะรู้ว่ามีบริษัทที่รับทำเรื่องดังกล่าวอยู่ ซึ่งเท่าที่ดูนักศึกษาที่เรียนภาคปกติทั่วไปไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนใหญ่จะทำเอง
อย่างไรก็ตาม ที่เป็นปัญหาคือภาคพิเศษ ที่เชิญผู้บริหารต่าง ๆ มาเรียน และพวกที่รับจ้างทำส่วนใหญ่จะไปลอกเขามาเช่นกันดังนั้นจึงสามารถตรวจสอบได้ เพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งก็มีเครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์แล้ว แต่เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาไทยทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังพัฒนาขึ้น และหากสำเร็จก็จะให้ใช้ทุกมหาวิทยาลัย ซึ่งหากตรวจสอบพบ ก็จะถูกถอดปริญญา โดย มธ.เองก็เคยถอดปริญญาแล้วหลายราย
ศ.ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า ส่วนขั้นตอนทางกฎหมายนั้น การลอกปริญญาก็ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา หากผู้เสียหายสามารถแจ้งความได้ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามในอนาคตหากเครื่องตรวจวิทยานิพนธ์มีใช้อย่างแพร่หลายแล้ว ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) คิดว่าต่อไป วิทยานิพนธ์ของนักศึกษาทุกระดับจะต้องมีใบรับรองว่าผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้ลอกผลงานใครมา จึงจะสามารถเข้าสอบได้ นอกจากนั้นในการประชุม ทปอ.เมื่อเร็วๆ นี้ ทางจุฬาฯยังเสนอแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวในระยะยาวว่า ทุกมหาวิทยาลัยควรจะมีการสอนข้อห้ามในการทำวิทยานิพนธ์ให้นักศึกษาด้วย เช่น ห้ามคัดลอกผลงานผู้อื่นมาโดยไม่อ้างอิง เป็นต้น เพราะที่ผ่านมามหาวิทยาลัยสอนแต่วิธีการทำสารนิพนธ์ และวิทยานิพนธ์เท่านั้น แต่ไม่เคยบอกข้อห้ามต่างๆ
ด้าน ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า การจ้างทำวิทยานิพนธ์ หรือลอกผลงานทางวิชาการของผู้อื่นมา เท่ากับเป็นการทุจริตทางวิชาการ ซึ่งน่าห่วง ตนคิดว่าปัญหานี้ส่วนหนึ่งเกิดจากค่านิยมที่ทุกคนคิดว่า ต้องมีปริญญาหลายใบ เพิ่มดีกรี และหลงผิดว่าจะได้มาโดยวิธีใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อย่างแท้จริง เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้คนไปทำธุรกิจประเภทนี้ ซึ่งถือว่าทำผิดทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง
ดังนั้นหากจะเอาความผิดก็ต้องเอาทั้งคู่ เพื่อป้องกันไม่ให้วงการวิชาการเสื่อมเสียไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ในส่วนของเครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์ฉบับภาษาไทยที่จุฬาฯกำลังพัฒนาขึ้นนั้น คาดว่าจะสามารถใช้การได้ประมาณเดือนกรกฎาคมนี้
ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีที่ ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีการรับจ้างทำดุษฎีนิพนธ์ ของปริญญาเอก ทุกสาขาวิชาทั่วประเทศ ประกาศผ่านทางเว็บไซต์ www.researchthailand.com ที่จะมีรายละเอียด ทั้งช่องทางติดต่อผู้รับจ้าง ซึ่งอ้างชื่อว่าเป็นหัวหน้าทีมวิจัย หลักสูตรระดับดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่รับทำ ทั้งยังมีข้อความเชิงการันตีคุณภาพผลงานที่รับจ้าง อาทิ ทีมงานเราประกอบไปด้วย อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษาปริญญาเอกหลากหลายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมมีผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่า 10 ท่าน ซึ่งมีประสบการณ์ในงานวิจัยมากกว่า 20 ปี เป็นต้น และเตรียมจะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อหาทางแก้ไข ว่า ทุกมหาวิทยาลัยพยายามจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาอย่างเข้มข้น ทั้งการสัมภาษณ์หากเป็นผลงานของนักศึกษาจริงก็จะต้องตอบโต้ได้ และมหาวิทยาลัยพอจะรู้ว่ามีบริษัทที่รับทำเรื่องดังกล่าวอยู่ ซึ่งเท่าที่ดูนักศึกษาที่เรียนภาคปกติทั่วไปไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนใหญ่จะทำเอง
อย่างไรก็ตาม ที่เป็นปัญหาคือภาคพิเศษ ที่เชิญผู้บริหารต่าง ๆ มาเรียน และพวกที่รับจ้างทำส่วนใหญ่จะไปลอกเขามาเช่นกันดังนั้นจึงสามารถตรวจสอบได้ เพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งก็มีเครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์แล้ว แต่เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาไทยทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังพัฒนาขึ้น และหากสำเร็จก็จะให้ใช้ทุกมหาวิทยาลัย ซึ่งหากตรวจสอบพบ ก็จะถูกถอดปริญญา โดย มธ.เองก็เคยถอดปริญญาแล้วหลายราย
ศ.ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า ส่วนขั้นตอนทางกฎหมายนั้น การลอกปริญญาก็ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา หากผู้เสียหายสามารถแจ้งความได้ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามในอนาคตหากเครื่องตรวจวิทยานิพนธ์มีใช้อย่างแพร่หลายแล้ว ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) คิดว่าต่อไป วิทยานิพนธ์ของนักศึกษาทุกระดับจะต้องมีใบรับรองว่าผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้ลอกผลงานใครมา จึงจะสามารถเข้าสอบได้ นอกจากนั้นในการประชุม ทปอ.เมื่อเร็วๆ นี้ ทางจุฬาฯยังเสนอแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวในระยะยาวว่า ทุกมหาวิทยาลัยควรจะมีการสอนข้อห้ามในการทำวิทยานิพนธ์ให้นักศึกษาด้วย เช่น ห้ามคัดลอกผลงานผู้อื่นมาโดยไม่อ้างอิง เป็นต้น เพราะที่ผ่านมามหาวิทยาลัยสอนแต่วิธีการทำสารนิพนธ์ และวิทยานิพนธ์เท่านั้น แต่ไม่เคยบอกข้อห้ามต่างๆ
ด้าน ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า การจ้างทำวิทยานิพนธ์ หรือลอกผลงานทางวิชาการของผู้อื่นมา เท่ากับเป็นการทุจริตทางวิชาการ ซึ่งน่าห่วง ตนคิดว่าปัญหานี้ส่วนหนึ่งเกิดจากค่านิยมที่ทุกคนคิดว่า ต้องมีปริญญาหลายใบ เพิ่มดีกรี และหลงผิดว่าจะได้มาโดยวิธีใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อย่างแท้จริง เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้คนไปทำธุรกิจประเภทนี้ ซึ่งถือว่าทำผิดทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง
ดังนั้นหากจะเอาความผิดก็ต้องเอาทั้งคู่ เพื่อป้องกันไม่ให้วงการวิชาการเสื่อมเสียไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ในส่วนของเครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์ฉบับภาษาไทยที่จุฬาฯกำลังพัฒนาขึ้นนั้น คาดว่าจะสามารถใช้การได้ประมาณเดือนกรกฎาคมนี้
