มศว เผยงานวิจัยภาวะสมาธิสั้นในเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ เขต กทม. พบเด็กชายบกพร่องทางการเรียนรู้มากกว่าเด็กหญิง สพฐ.ของานวิจัยเป็นข้อมูลเพื่อหนุนนโยบาย ศธ. ด้านนักวิจัยชวนผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมวิชาการเดือนหน้า
รศ.ดร.ดารณี ศักดิ์ศิริผล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ (RISE) เปิดเผยว่า มศว ทำงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือ Learning Disabilities หรือเรียกว่าเด็กแอลดีมาอย่างต่อเนื่อง เด็กจะมีปัญหาทางการเรียนรู้ ซึ่งได้แก่การอ่าน การเขียน การฟัง และการคิด ตลอดถึงการคำนวณ เด็กจะคิดช้า อ่านช้า เขียนหนังสือผิด สะกดคำผิด จนทำให้ไม่ชอบ และไม่สนใจในการเรียน เบื่อหน่ายโรงเรียน หากครูไม่เข้าใจก็จะมองเด็กกลุ่มนี้ว่าเป็นเด็กมีปัญหา และทอดทิ้งเด็ก จากผลงานวิจัยยังพบว่า นอกจากจะมีความบกพร่องทางการเรียนรู้แล้ว เด็กกลุ่มนี้ยังมีโอกาสอยู่ในภาวะสมาธิสั้นด้วย ซึ่งจากการศึกษาโรงเรียนในเขต กทม.พบว่า เด็กที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ป.1-3 เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 3.57% และส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงประมาณ 3 : 1 คือถ้าพบเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่เป็นผู้ชาย 3 คน จะพบเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่เป็นผู้หญิง 1 คน และจะพบในเด็กชั้นประถมปีที่ 2 มากที่สุด
ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องด้านการอ่าน และการเขียนมากที่สุด นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า ในจำนวนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ยังมีภาวะสมาธิสั้นร่วมด้วยถึง 23.76% ซึ่งภาวะสมาธิเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของสมองบางส่วน ส่งผลกระทบต่อการเรียน พฤติกรรม อารมณ์ และการเข้าสังคมกับผู้อื่น เด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นจะไม่สามารถควบคุมตัวเองให้มีความสนใจ หรือมีสมาธิในสิ่งที่กำลังกระทำภายในระยะเวลาที่กำหนด และมีพฤติกรรมที่อยู่ไม่นิ่ง กลุ่มอาการสมาธิสั้น ประกอบด้วย 3 กลุ่มอาการใหญ่ๆ ได้แก่ ขาดสมาธิ (Attention deficit) หุนหันพลันแล่น/วู่วาม (Hyperactivity) และซน/ไม่อยู่นิ่ง (Impulsivity) กลุ่มอาการสมาธิสั้นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็กก่อนอายุ 7 ปี เด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการขาดสมาธิจะมีลักษณะวอกแวกง่าย ขาดความตั้งใจในการทำงาน มีอาการเหม่อลอย ฝันกลางวัน ทำงานไม่เสร็จ ผลงานไม่เรียบร้อย ขี้ลืมทำของใช้ส่วนตัวหายบ่อยๆ มีการเหมือนไม่สนใจฟังเวลาคนอื่นพูด เมื่อสั่งให้ทำงานอะไรมักจะลืม หรือทำครึ่งๆ กลางๆ สำหรับเด็กที่มีอาการหุนหันพลันแล่น มีลักษณะวู่วามใจร้อน ทำอะไรก่อนที่จะคิดตรึกตรองเสมอ ไม่คิดถึงผลที่จะตามมา ขาดความระมัดระวัง ซุ่มซ่าม รอคอยไม่ได้ พูดโพล่ง พูดแทรก มักตอบคำถามที่ยังถามไม่จบ ส่วนเด็กที่มีอาการซนจะมีลักษณะอยู่ไม่นิ่ง ยุกยิกตลอดเวลา นั่งนิ่งไม่ค่อยได้ ต้องลุกเดินหรือขยับตัวไม่มา เล่นเสียงดัง พูดไม่หยุด ชอบเล่น หรือแหย่ผู้อื่น ชอบเล่นผาดโผน และมักประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ จากความไม่ระมัดระวัง ที่น่าสังเกตว่า พบเด็กชั้น ป.2 มากที่สุดก็เพราะตอนนักเรียนอยู่ชั้นอนุบาล-ป.1 ครูยังไม่ค่อยได้สนใจการอ่าน การเขียน การคิด และการพูดของนักเรียนมากนัก แต่พอผ่านชั้น ป.1 ขึ้น ป.2 ครูเริ่มอยู่กับเด็ก คุ้นเคย และใส่ใจเด็กมากขึ้นจึงเห็นปัญหาด้านความบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กมากขึ้นๆ สำหรับชั้น ป.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้มีจำนวนน้อยลง เพราะได้รับการแก้ไขเมื่อครูมองเห็นปัญหา และข้อบกพร่องของเด็กนักเรียน ทั้งนี้ งานวิจัยยังพบอีกว่า เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้จำนวนหนึ่งมีระดับสติปัญญาอยู่ในระดับสูงกว่าปานกลางจนถึงขั้นเฉลียวฉลาดด้วย
“การคัดกรองเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ซึ่งต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการคัดกรองเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับปฐมวัย เพื่อป้องกันปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ คิดคำนวณไม่เป็นตั้งแต่แรกเริ่ม จากการศึกษาข้อมูลของประเทศสหรัฐอเมริกาในเรื่องการช่วยเหลือเด็กนั้นยังระบุ หากผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือเด็กที่มีความยากลำบากในการอ่าน ก่อนที่เด็กจะมีอายุ 9 ปี หรือเด็กกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.3 เด็กจำนวนร้อยละ 90 ที่มีปัญหาด้านการอ่าน จะมีความสามารถอ่านออกเขียนได้เช่นเดียวกับเด็กปกติ”
รศ.ดร.ดารณี กล่าวอีกว่า เห็นด้วยที่ สพฐ.ให้ความสำคัญกลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หากแต่ต้องมีข้อมูล และมีงานวิจัยสนับสนุนในการทำงาน มีโอกาสได้ไปพูดบรรยายเรื่องเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ทำให้ สพฐ.เห็นว่า มศว มีงานวิจัยด้านนี้ และ มศว ทำงานด้านนี้มานาน จึงขอผลงานวิจัยเรื่องนี้เพื่อจะนำเป็นข้อมูลในดำเนินนโบยายการทำงาน และสนับสนุนพร้อมแก้ไขปัญหาของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งทาง มศว ยินดีมอบงานวิจัยชิ้นนี้ให้เพื่อประโยชน์ทางด้านการศึกษา การจะแก้ปัญหาการศึกษานั้น ควรจะมีฐานข้อมูลที่มากเพียงพอ และต้องทำงานให้เป็นระบบด้วย ทั้งนี้ ในวันที่ 9-10 พ.ค.2556 มศว มีโครงการประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่อง งานวิจัยทางการศึกษาพิเศษ ครั้งที่ 3 มิติใหม่การวิจัยทางการศึกษาพิเศษในศตวรรษที่ 21: Mixed Method ณ อาคารนวัตกรรม ศ.ดร.สาโรช บัวศรี มศว ขึ้น จึงขอเชิญ สพฐ. ครู อาจารย์ ครูการศึกษาพิเศษ และผู้สนใจได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดถึงงานวิจัยชิ้นนี้จะนำเสนอในวันนั้นด้วย
รศ.ดร.ดารณี ศักดิ์ศิริผล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ (RISE) เปิดเผยว่า มศว ทำงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือ Learning Disabilities หรือเรียกว่าเด็กแอลดีมาอย่างต่อเนื่อง เด็กจะมีปัญหาทางการเรียนรู้ ซึ่งได้แก่การอ่าน การเขียน การฟัง และการคิด ตลอดถึงการคำนวณ เด็กจะคิดช้า อ่านช้า เขียนหนังสือผิด สะกดคำผิด จนทำให้ไม่ชอบ และไม่สนใจในการเรียน เบื่อหน่ายโรงเรียน หากครูไม่เข้าใจก็จะมองเด็กกลุ่มนี้ว่าเป็นเด็กมีปัญหา และทอดทิ้งเด็ก จากผลงานวิจัยยังพบว่า นอกจากจะมีความบกพร่องทางการเรียนรู้แล้ว เด็กกลุ่มนี้ยังมีโอกาสอยู่ในภาวะสมาธิสั้นด้วย ซึ่งจากการศึกษาโรงเรียนในเขต กทม.พบว่า เด็กที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ป.1-3 เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 3.57% และส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงประมาณ 3 : 1 คือถ้าพบเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่เป็นผู้ชาย 3 คน จะพบเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่เป็นผู้หญิง 1 คน และจะพบในเด็กชั้นประถมปีที่ 2 มากที่สุด
ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องด้านการอ่าน และการเขียนมากที่สุด นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า ในจำนวนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ยังมีภาวะสมาธิสั้นร่วมด้วยถึง 23.76% ซึ่งภาวะสมาธิเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของสมองบางส่วน ส่งผลกระทบต่อการเรียน พฤติกรรม อารมณ์ และการเข้าสังคมกับผู้อื่น เด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นจะไม่สามารถควบคุมตัวเองให้มีความสนใจ หรือมีสมาธิในสิ่งที่กำลังกระทำภายในระยะเวลาที่กำหนด และมีพฤติกรรมที่อยู่ไม่นิ่ง กลุ่มอาการสมาธิสั้น ประกอบด้วย 3 กลุ่มอาการใหญ่ๆ ได้แก่ ขาดสมาธิ (Attention deficit) หุนหันพลันแล่น/วู่วาม (Hyperactivity) และซน/ไม่อยู่นิ่ง (Impulsivity) กลุ่มอาการสมาธิสั้นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็กก่อนอายุ 7 ปี เด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการขาดสมาธิจะมีลักษณะวอกแวกง่าย ขาดความตั้งใจในการทำงาน มีอาการเหม่อลอย ฝันกลางวัน ทำงานไม่เสร็จ ผลงานไม่เรียบร้อย ขี้ลืมทำของใช้ส่วนตัวหายบ่อยๆ มีการเหมือนไม่สนใจฟังเวลาคนอื่นพูด เมื่อสั่งให้ทำงานอะไรมักจะลืม หรือทำครึ่งๆ กลางๆ สำหรับเด็กที่มีอาการหุนหันพลันแล่น มีลักษณะวู่วามใจร้อน ทำอะไรก่อนที่จะคิดตรึกตรองเสมอ ไม่คิดถึงผลที่จะตามมา ขาดความระมัดระวัง ซุ่มซ่าม รอคอยไม่ได้ พูดโพล่ง พูดแทรก มักตอบคำถามที่ยังถามไม่จบ ส่วนเด็กที่มีอาการซนจะมีลักษณะอยู่ไม่นิ่ง ยุกยิกตลอดเวลา นั่งนิ่งไม่ค่อยได้ ต้องลุกเดินหรือขยับตัวไม่มา เล่นเสียงดัง พูดไม่หยุด ชอบเล่น หรือแหย่ผู้อื่น ชอบเล่นผาดโผน และมักประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ จากความไม่ระมัดระวัง ที่น่าสังเกตว่า พบเด็กชั้น ป.2 มากที่สุดก็เพราะตอนนักเรียนอยู่ชั้นอนุบาล-ป.1 ครูยังไม่ค่อยได้สนใจการอ่าน การเขียน การคิด และการพูดของนักเรียนมากนัก แต่พอผ่านชั้น ป.1 ขึ้น ป.2 ครูเริ่มอยู่กับเด็ก คุ้นเคย และใส่ใจเด็กมากขึ้นจึงเห็นปัญหาด้านความบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็กมากขึ้นๆ สำหรับชั้น ป.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้มีจำนวนน้อยลง เพราะได้รับการแก้ไขเมื่อครูมองเห็นปัญหา และข้อบกพร่องของเด็กนักเรียน ทั้งนี้ งานวิจัยยังพบอีกว่า เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้จำนวนหนึ่งมีระดับสติปัญญาอยู่ในระดับสูงกว่าปานกลางจนถึงขั้นเฉลียวฉลาดด้วย
“การคัดกรองเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ซึ่งต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการคัดกรองเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับปฐมวัย เพื่อป้องกันปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ คิดคำนวณไม่เป็นตั้งแต่แรกเริ่ม จากการศึกษาข้อมูลของประเทศสหรัฐอเมริกาในเรื่องการช่วยเหลือเด็กนั้นยังระบุ หากผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือเด็กที่มีความยากลำบากในการอ่าน ก่อนที่เด็กจะมีอายุ 9 ปี หรือเด็กกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.3 เด็กจำนวนร้อยละ 90 ที่มีปัญหาด้านการอ่าน จะมีความสามารถอ่านออกเขียนได้เช่นเดียวกับเด็กปกติ”
รศ.ดร.ดารณี กล่าวอีกว่า เห็นด้วยที่ สพฐ.ให้ความสำคัญกลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หากแต่ต้องมีข้อมูล และมีงานวิจัยสนับสนุนในการทำงาน มีโอกาสได้ไปพูดบรรยายเรื่องเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ทำให้ สพฐ.เห็นว่า มศว มีงานวิจัยด้านนี้ และ มศว ทำงานด้านนี้มานาน จึงขอผลงานวิจัยเรื่องนี้เพื่อจะนำเป็นข้อมูลในดำเนินนโบยายการทำงาน และสนับสนุนพร้อมแก้ไขปัญหาของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งทาง มศว ยินดีมอบงานวิจัยชิ้นนี้ให้เพื่อประโยชน์ทางด้านการศึกษา การจะแก้ปัญหาการศึกษานั้น ควรจะมีฐานข้อมูลที่มากเพียงพอ และต้องทำงานให้เป็นระบบด้วย ทั้งนี้ ในวันที่ 9-10 พ.ค.2556 มศว มีโครงการประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่อง งานวิจัยทางการศึกษาพิเศษ ครั้งที่ 3 มิติใหม่การวิจัยทางการศึกษาพิเศษในศตวรรษที่ 21: Mixed Method ณ อาคารนวัตกรรม ศ.ดร.สาโรช บัวศรี มศว ขึ้น จึงขอเชิญ สพฐ. ครู อาจารย์ ครูการศึกษาพิเศษ และผู้สนใจได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดถึงงานวิจัยชิ้นนี้จะนำเสนอในวันนั้นด้วย