มบส.วาง 3 แนวทางช่วยนิสิตเทคนิคการแพทย์ เพื่อให้สอดคล้องตามสภาวิชาชีพกำหนดลุ้นสภาวิชาชีพรับรอง
รศ.ดร.บังอร เสรีรัตน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ(มบส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีนิสิตสาขาวิชาเทคนิคการแพทย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มบส.ขอความช่วยเหลือกรณีหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ มบส.ไม่ผ่านการรับรองจากสภาเทคนิคการแพทย์ ส่งผลให้นิสิตไม่สามารถฝึกงานและเรียนต่อจนจบหลักสูตร ว่ามหาวิทยาลัยได้ดำเนินการช่วยเหลือนิสิตตามแนวทางที่วางไว้ทั้ง 3 แนวทาง คือ 1.ให้นิสิตได้เทียบโอนไปเรียนสาขาวิชาอื่นที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันของมบส. 2.ย้ายนิสิตไปเรียนในหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ของสถาบันอุดมศึกษาแห่งอื่น ที่ได้รับการอนุมัติหลักสูตรจากสมาคมวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แล้ว และ 3.มบส.จะต่อสู้ต่อไปเพื่อให้หลักสูตรเทคนิคการแพทย์ มบส.ได้รับการอนุมัติ เพื่อให้นิสิตได้ศึกษาที่นี่ต่อไปจนจบหลักสูตร
นอกจากนั้น มบส.ยังได้มีการจัดระบบต่างๆ ให้เป็นไปตามที่สภาวิชาชีพกำหนด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการฝึกงาน มบส.ได้ทำความร่วมมือกับโรงพยาบาลหลายแห่งที่จะส่งเด็กไปฝึกงานแล้ว จัดตั้งสโมสรของเทคนิคการแพทย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มหาวิทยาลัยได้หยุดรับนิสิตสาขาวิชาเทคนิคการแพทย์แล้ว และในเดือนกุมภาพันธ์นี้ทางสภาวิชาชีพจะมาสอบวัดความรู้พื้นฐานของนิสิตที่ไม่ประสงค์จะไปเรียนที่อื่น และยังเรียนอยู่ในสาขาเดิมเพื่อเป็นการวัดความรู้ของนิสิต ซึ่งถ้าผ่านการทดสอบดังกล่าว คาดว่า จะได้รับรองจากสภาวิชาชีพเร็วๆ นี้ เพราะตอนนี้ สกอ.และ ก.พ.ให้การรับรองแล้ว เหลือเพียงสภาวิชาชีพเทคนิคการแพทย์
สำหรับกรณีที่ครุสภาขอทบทวนการออกใบประกอบวิชาชีพครูให้แก่นิสิตคณะครุศาสตร์ มบส.ที่เข้าศึกษาในปี 2554 เนื่องจากตัวเลขนิสิตที่มหาวิทยาลัยรับเข้ามามีจำนวนมากเกินไป และไม่ผ่านการสอบคัดเลือกนั้น รศ.ดร.บังอร กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวครุสภากำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้เข้าไปชี้แจงและทำความเข้าใจกับทางครุสภาแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ในปี 2554 มหาวิทยาลัยรับนิสิตคณะครุศาสตร์จำนวนมาก เนื่องจากเป็นการปฎิบัติตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)ที่มหาวิทยาลัยไม่มีสิทธิปฎิเสธ ทำให้ปี 2554 นิสิตแห่มาเรียนครุศาสตร์จำนวนมาก มหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถปฎิเสธได้
อย่างไรก็ตาม การที่มหาวิทยาลัยรับนิสิตทุกคนเข้าเรียน มหาวิทยาลัยได้คำนึงแล้วว่าสามารถดูแลบริหารจัดการ มีระดมอาจารย์พิเศษมาสอน จัดระบบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพให้กับนิสิตได้ ขณะเดียวกัน ในการรับสมัคร แม้จะไม่มีการสอบคัดเลือก แต่มหาวิทยาลัยมีกระบวนการคัดกรองเด็ก มีการสอบพื้นฐาน เพียงแต่ไม่ได้เรียกว่าสอบคัดเลือกเท่านั้น และขอยืนยันว่า เด็กของเราเข้ามาอย่างมีระบบรับ เพียงแต่บังเอิญระบบนั้นครุสภาขอทบทวน และไม่ใช่ว่าทางครุสภาไม่รับรอง
รศ.ดร.บังอร เสรีรัตน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ(มบส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีนิสิตสาขาวิชาเทคนิคการแพทย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มบส.ขอความช่วยเหลือกรณีหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ มบส.ไม่ผ่านการรับรองจากสภาเทคนิคการแพทย์ ส่งผลให้นิสิตไม่สามารถฝึกงานและเรียนต่อจนจบหลักสูตร ว่ามหาวิทยาลัยได้ดำเนินการช่วยเหลือนิสิตตามแนวทางที่วางไว้ทั้ง 3 แนวทาง คือ 1.ให้นิสิตได้เทียบโอนไปเรียนสาขาวิชาอื่นที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันของมบส. 2.ย้ายนิสิตไปเรียนในหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ของสถาบันอุดมศึกษาแห่งอื่น ที่ได้รับการอนุมัติหลักสูตรจากสมาคมวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แล้ว และ 3.มบส.จะต่อสู้ต่อไปเพื่อให้หลักสูตรเทคนิคการแพทย์ มบส.ได้รับการอนุมัติ เพื่อให้นิสิตได้ศึกษาที่นี่ต่อไปจนจบหลักสูตร
นอกจากนั้น มบส.ยังได้มีการจัดระบบต่างๆ ให้เป็นไปตามที่สภาวิชาชีพกำหนด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการฝึกงาน มบส.ได้ทำความร่วมมือกับโรงพยาบาลหลายแห่งที่จะส่งเด็กไปฝึกงานแล้ว จัดตั้งสโมสรของเทคนิคการแพทย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มหาวิทยาลัยได้หยุดรับนิสิตสาขาวิชาเทคนิคการแพทย์แล้ว และในเดือนกุมภาพันธ์นี้ทางสภาวิชาชีพจะมาสอบวัดความรู้พื้นฐานของนิสิตที่ไม่ประสงค์จะไปเรียนที่อื่น และยังเรียนอยู่ในสาขาเดิมเพื่อเป็นการวัดความรู้ของนิสิต ซึ่งถ้าผ่านการทดสอบดังกล่าว คาดว่า จะได้รับรองจากสภาวิชาชีพเร็วๆ นี้ เพราะตอนนี้ สกอ.และ ก.พ.ให้การรับรองแล้ว เหลือเพียงสภาวิชาชีพเทคนิคการแพทย์
สำหรับกรณีที่ครุสภาขอทบทวนการออกใบประกอบวิชาชีพครูให้แก่นิสิตคณะครุศาสตร์ มบส.ที่เข้าศึกษาในปี 2554 เนื่องจากตัวเลขนิสิตที่มหาวิทยาลัยรับเข้ามามีจำนวนมากเกินไป และไม่ผ่านการสอบคัดเลือกนั้น รศ.ดร.บังอร กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวครุสภากำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้เข้าไปชี้แจงและทำความเข้าใจกับทางครุสภาแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ในปี 2554 มหาวิทยาลัยรับนิสิตคณะครุศาสตร์จำนวนมาก เนื่องจากเป็นการปฎิบัติตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)ที่มหาวิทยาลัยไม่มีสิทธิปฎิเสธ ทำให้ปี 2554 นิสิตแห่มาเรียนครุศาสตร์จำนวนมาก มหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถปฎิเสธได้
อย่างไรก็ตาม การที่มหาวิทยาลัยรับนิสิตทุกคนเข้าเรียน มหาวิทยาลัยได้คำนึงแล้วว่าสามารถดูแลบริหารจัดการ มีระดมอาจารย์พิเศษมาสอน จัดระบบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพให้กับนิสิตได้ ขณะเดียวกัน ในการรับสมัคร แม้จะไม่มีการสอบคัดเลือก แต่มหาวิทยาลัยมีกระบวนการคัดกรองเด็ก มีการสอบพื้นฐาน เพียงแต่ไม่ได้เรียกว่าสอบคัดเลือกเท่านั้น และขอยืนยันว่า เด็กของเราเข้ามาอย่างมีระบบรับ เพียงแต่บังเอิญระบบนั้นครุสภาขอทบทวน และไม่ใช่ว่าทางครุสภาไม่รับรอง