สธ.สุ่มตรวจระดับภูมิคุ้มกันโรคของคนไทย พบแนวโน้มกลุ่มช่วงอายุ 20-60 ปี มีภูมิคุ้มกันโรคคอตีบต่ำ เตรียมเดินหน้าวางแผนฉีดวัคซีนให้กลุ่มดังกล่าว คาด เริ่มฉีดปีนี้ในพื้นที่ที่มีความจำเป็นก่อน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการระบาดของโรคคอตีบช่วงที่ผ่านมา ขณะนี้ คร.ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทำการสุ่มตรวจระดับภูมิคุ้มกันของคนไทย โดยเบื้องต้นได้เก็บตัวอย่างจากประชากรใน กทม. หนองบัวลำภู และกำลังดำเนินการในประชากรภาคเหนือและภาคใต้เพิ่มเติม เพื่อหาข้อสรุปและวางแผนการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ ซึ่งพบแนวโน้มว่า ประชากรไทยกลุ่มอายุ 20-60 ปี เป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันโรคคอตีบน้อย เพราะเติบโตมาในช่วงที่วัคซีนคอตีบยังไม่ถูกบรรจุให้เป็นวัคซีนพื้นฐาน ประกอบกับปัจจุบันเชื้อในธรรมชาติน้อย ทำให้ไม่ถูกกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นสาเหตุของการระบาดช่วงที่ผ่านมา ส่วนประชากรกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี จะได้รับวัคซีนคอตีบเป็นวัคซีนพื้นฐานอยู่แล้ว ส่วนอายุมากกว่า 60 ปี พบว่า เป็นกลุ่มที่ได้รับเชื้อตามธรรมชาติทำให้มีภูมิคุ้มกันเช่นกัน
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า หลังจากได้หลักฐานจากการสำรวจชัดเจนปลาย ม.ค.นี้ จะมีการนำไปวางแผนเพื่อกำหนดแผนในการฉีดวัคซีนในประชากรกลุ่มอายุ 20-60 ปี ว่า จะเริ่มฉีดในพื้นที่ใดก่อน ฉีดอย่างไร เนื่องจากจำนวนประชากรที่ต้องได้รับวัคซีนมีเป็นจำนวนมาก จึงต้องวางแผนการนำเข้าหรือให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมผลิตวัคซีน ซึ่ง อภ.สามารถผลิตได้เช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่า จะต้องเริ่มฉีดวัคซีนให้ได้ภายในปีนี้ โดยเริ่มจากพื้นที่ที่มีความจำเป็น หรือมีข้อบ่งชี้ก่อนเป็นลำดับแรกๆ ซึ่งตั้งแต่พบการระบาดในช่วงปลายปี 2555 ปัจจุบันได้ให้วัคซีนประชากรในพื้นที่ที่พบการระบาดและพื้นที่ใกล้เคียงไปแล้วประมาณ 2-3 ล้านคน
“กลุ่มที่ฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กก็ต้องมีการฉีดเพิ่ม เพราะพบว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนจะลดลงตามระยะเวลาประมาณ 10 ปี จึงจะมีการฉีดใหม่ด้วย โดย คร.จะจัดวัคซีนคอตีบให้ผู้ใหญ่ในภาพรวม ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดช่วงอายุ คาดว่าอายุระหว่าง 20-50 ปี ใช้วัคซีนราว 30-40 ล้านโดส โดสละประมาณ 6-7 บาท แต่ไม่ได้ฉีดทั้งหมดทีเดียว จะทยอยฉีดในกลุ่มที่จำเป็นก่อน เชื่อว่าจะเริ่มฉีดได้ภายในปีนี้” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการระบาดของโรคคอตีบช่วงที่ผ่านมา ขณะนี้ คร.ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทำการสุ่มตรวจระดับภูมิคุ้มกันของคนไทย โดยเบื้องต้นได้เก็บตัวอย่างจากประชากรใน กทม. หนองบัวลำภู และกำลังดำเนินการในประชากรภาคเหนือและภาคใต้เพิ่มเติม เพื่อหาข้อสรุปและวางแผนการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ ซึ่งพบแนวโน้มว่า ประชากรไทยกลุ่มอายุ 20-60 ปี เป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันโรคคอตีบน้อย เพราะเติบโตมาในช่วงที่วัคซีนคอตีบยังไม่ถูกบรรจุให้เป็นวัคซีนพื้นฐาน ประกอบกับปัจจุบันเชื้อในธรรมชาติน้อย ทำให้ไม่ถูกกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นสาเหตุของการระบาดช่วงที่ผ่านมา ส่วนประชากรกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี จะได้รับวัคซีนคอตีบเป็นวัคซีนพื้นฐานอยู่แล้ว ส่วนอายุมากกว่า 60 ปี พบว่า เป็นกลุ่มที่ได้รับเชื้อตามธรรมชาติทำให้มีภูมิคุ้มกันเช่นกัน
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า หลังจากได้หลักฐานจากการสำรวจชัดเจนปลาย ม.ค.นี้ จะมีการนำไปวางแผนเพื่อกำหนดแผนในการฉีดวัคซีนในประชากรกลุ่มอายุ 20-60 ปี ว่า จะเริ่มฉีดในพื้นที่ใดก่อน ฉีดอย่างไร เนื่องจากจำนวนประชากรที่ต้องได้รับวัคซีนมีเป็นจำนวนมาก จึงต้องวางแผนการนำเข้าหรือให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมผลิตวัคซีน ซึ่ง อภ.สามารถผลิตได้เช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่า จะต้องเริ่มฉีดวัคซีนให้ได้ภายในปีนี้ โดยเริ่มจากพื้นที่ที่มีความจำเป็น หรือมีข้อบ่งชี้ก่อนเป็นลำดับแรกๆ ซึ่งตั้งแต่พบการระบาดในช่วงปลายปี 2555 ปัจจุบันได้ให้วัคซีนประชากรในพื้นที่ที่พบการระบาดและพื้นที่ใกล้เคียงไปแล้วประมาณ 2-3 ล้านคน
“กลุ่มที่ฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กก็ต้องมีการฉีดเพิ่ม เพราะพบว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนจะลดลงตามระยะเวลาประมาณ 10 ปี จึงจะมีการฉีดใหม่ด้วย โดย คร.จะจัดวัคซีนคอตีบให้ผู้ใหญ่ในภาพรวม ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดช่วงอายุ คาดว่าอายุระหว่าง 20-50 ปี ใช้วัคซีนราว 30-40 ล้านโดส โดสละประมาณ 6-7 บาท แต่ไม่ได้ฉีดทั้งหมดทีเดียว จะทยอยฉีดในกลุ่มที่จำเป็นก่อน เชื่อว่าจะเริ่มฉีดได้ภายในปีนี้” นพ.โอภาส กล่าว
