xs
xsm
sm
md
lg

“เคที” เคลียร์ชัดๆ ไม่ขัดประกาศคณะปฏิวัติจ้างบีทีเอสซีเดินรถไฟฟ้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“เคที” เปิดโต๊ะเคลียร์จ้างบีทีเอสซีเดินรถไฟฟ้าไม่ขัดประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ยันไม่ยุ่งเกี่ยวสัญญาสัมปทานเดิม ชี้หวังดิสเครดิตเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.

วันนี้ (3 ม.ค.) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) นายอมร กิจเชวงกุล กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) กล่าวว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีหนังสือเชิญผู้บริหารกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไปรับทราบข้อกล่าวหากรณีจัดทำสัญญาว่าจ้างการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นเวลา 30 ปี ว่า กทม.บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ว่า ร่วมกันประกอบกิจการรถรางโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 นั้น ขอชี้แจงว่า บริษัทได้ปฏิบัติตามกฎหมายทุกกรณี โดยตระหนักและคำนึงถึงความขัดแย้งทางการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล และ กทม.ซึ่งโครงการนี้ได้ผ่านการตรวจสอบจากที่ปรึกษากฎหมายทั้งของบริษัท และ กทม.ถึงอำนาจหน้าที่ กทม.ที่ได้ระบุตามกฎหมาย นอกจากนั้น ยังได้ผ่านการพิจารณาคัดกรองจากสภา กทม.ที่ประกอบด้วย สมาชิกจากทั้งสองพรรคการเมือง ดังนั้น โครงการนี้จึงผ่านการคิดพิจารณา ทั้งจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกว่า 200 ท่าน ใช้เวลาพิจารณากว่า 3 ปี อย่างถี่ถ้วนในทุกประเด็น ทุกความเสี่ยงในการดำเนินการ
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
นายอมร กล่าวต่อว่า ประเด็นการปฏิบัติตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 (ปว.58) นั้น เป็นปฐมบทแห่งการเริ่มวิเคราะห์ความเสี่ยงโครงการด้านกฎหมาย ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า โครงการนี้ไม่ขัดต่อ ปว.58 โดยสาระสำคัญคือ การให้ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นที่ปรึกษากฎหมายของประเทศ ตามเรื่องเสร็จที่ 252/2525 ที่ให้ความเห็นว่า ปว.58 มุ่งบังคับกับเอกชนไม่ใช่รัฐ โดยได้พิจารณาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสองแห่ง คือ การไฟฟ้านครหลวง และการประปานครหลวง ว่า การดำเนินการของทั้งสองหน่วยงานไม่ต้องปฏิบัติตาม ปว.58 เนื่องจากทั้งสองหน่วยงานมีกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติที่ให้อำนาจในการดำเนินกิจการของตนไว้แล้ว เช่นเดียวกับกทม.มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 มาตรา 89(8) ให้ดำเนินกิจการขนส่งได้ นอกจากนั้น ใน ปว.58 ข้อ 6 ได้ระบุไว้ด้วยว่า กรณีที่มีกฎหมายเฉพาะว่าด้วยกิจการดังกล่าว ก็ให้ปฏิบัติไปตามกฎหมายว่าด้วยกิจการนั้น โครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ กทม.ดำเนินการจึงสอดคล้องกับ ปว.58 ที่ กทม.มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการด้านการขนส่งในเขตพื้นที่ตนเอง

นายอมร กล่าวอีกว่า ในประเด็นที่สองการเข้าไปเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานของกระทรวงมหาดไทยนั้น ขอชี้แจงว่า สัญญาที่เกิดขึ้นทั้งจาก กทม.และจากบีทีเอสซี ไม่ได้ปลี่ยนแปลงสาระใดๆ ในสัมปทานเดิมที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำไว้กับกระทรวงมหาดไทย นอกเหนือจากนั้น การทำสัญญาจ้างบีทีเอสซียังเป็นประโยชน์ ต่อประชาชนผู้เดินทาง เช่น การเพิ่มเติมประตูกั้นผู้โดยสารเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง การเพิ่มขบวนรถทำให้ผู้โดยสารได้ใช้รถไฟที่ใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนการจ้างบีทีเอสซีเดินรถต่อไปอีก 13 ปี เมื่อหมดสิทธิตามสัญญาสัมปทานนั้น เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสัญญาสัมปทานที่ให้ทรัพย์สินทั้งหมดในสัญญาสัมปทานตกเป็นของ กทม.ไม่ได้ตกเป็นของกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้การใช้ทรัพย์สินเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน จึงเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กัน

ขอย้ำว่า การที่บีทีเอสซีนำรถมาวิ่งรับผู้โดยสารในส่วนต่อขยาย หรือการที่บีทีเอสซีมาเดินรถหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน เป็นเพียงผู้รับจ้างเดินรถและได้รับเพียงค่าจ้างเท่านั้น จึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงถ้าเทียบกับการเป็นผู้รับสัมปทาน การที่นักการเมืองไปร้องเรียนต่อหน่วยงานของรัฐเพื่อตรวจสอบนั้นถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง หากสังเกตจะพบสิ่งชี้นำ ที่ต้องการนำเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่กำลังจะมาถึง เพื่อให้เกิดความระแวงสงสัยในการดำเนินงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยลงเนื้อหาข่าววันเดียวกับที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นตัวแทนพรรคในการลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.และที่สำคัญ ขอย้ำว่า การดำเนินโครงการต่างๆของ กทม.คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและราชการเป็นที่ตั้ง สร้างทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชน ให้ได้รับความสะดวกปลอดภัย ในส่วนของราชการประหยัดงบประมาณ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เพื่อหวังให้เกิดผลต่อการลดปัญหาจราจรในเมือง เช่น เมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกที่ทำสำเร็จมาแล้ว” นายอมร กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น