กรมวิทย์ เปิดให้บริการสอบเทียบเครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ เชิญทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่นำเครื่องเครื่องดังกล่าวมาทำการสอบเทียบก่อนที่จะนำไปใช้งาน เพื่อสร้างความมั่นใจในผลตรวจวัดที่ถูกต้อง แม่นยำ และมีส่วนช่วยลดอุบัติเหตุจราจรทางบกในช่วงเทศกาลปีใหม่ เผยตั้งแต่เดือน ต.ค.2554 - ก.ย.2555 พบเครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด อ่านค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดและต้องทำการปรับค่าใหม่ 1,086 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 42.5
นายแพทย์ พิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ใกล้จะถึงนี้เป็นช่วงที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประชาชนส่วนใหญ่ที่ทำงานต่างถิ่นใช้ช่วงเวลานี้ เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบญาติ และเฉลิมฉลองกับครอบครัว ซึ่งในช่วงนี้อาจมีอุบัติเหตุจราจรทางบกเกิดขึ้นได้ โดยสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง คือการที่ผู้ขับขี่ยานพาหนะดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จากสถิติอุบัติเหตุจราจรทางบกในช่วงเทศกาลสำคัญ นับตั้งแต่ปี 2549-2555 พบว่า มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลนี้เป็นจำนวนมาก แม้หลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจะร่วมมือร่วมใจกันรณรงค์ “เมาไม่ขับ” เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุก็ตาม แต่การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก็ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการจราจรทางบก หน่วยงานภาครัฐได้จัดตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ หากมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งในการวัดแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีการเป่าลมหายใจ เป็นวิธีที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือด เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายให้ผลวิเคราะห์ที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ ทั้งนี้เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดต้องได้รับการสอบเทียบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจในความถูกต้อง แม่นยำ ของตัวเลขที่ชี้ว่าผู้ขับขี่กระทำผิดกฎหมายหรือไม่
นายแพทย์ พิพนธ์ กล่าวอีกว่า ข้อกำหนดของเครื่องมือ กำหนดให้เครื่องต้องได้รับการสอบเทียบใหม่ทุก 6 เดือน เนื่องจากเครื่องมีหัววัดแบบเซลล์ไฟฟ้าเคมี ซึ่งคุณภาพของหัววัดจะเสื่อมสภาพลงตามระยะเวลาการใช้งาน ดังนั้นต้องนำเครื่องมาทำสอบเทียบใหม่ตามข้อกำหนดเพื่อปรับให้หัววัดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลเครื่องวัดแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ โดย สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในปีงบประมาณ 2555 ที่หน่วยงานต่างๆ เช่นกรมการขนส่งทางบก สถานีตำรวจ นครบาล สถานีตำรวจภูธร สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โรงพยาบาล และหน่วยงานอื่นๆ ส่งสอบเทียบยังสำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ จำนวน 2,558 เครื่อง พบว่า มีเครื่องอ่านค่าตรงตามเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 1,338 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 52.3 เครื่องอ่านค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดและต้องทำการปรับค่าใหม่ จำนวน 1,086 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 42.5 และเครื่องที่ชำรุด จำนวน 134 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 5.2 โดยส่วนใหญ่เครื่องที่ชำรุดมีสาเหตุมาจากหัววัดเสื่อมสภาพ การขาดการดูแลและการบำรุงรักษา เป็นต้น จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ฯ ที่อ่านค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดและต้องทำการปรับค่าใหม่มีจำนวนสูงมาก เมื่อเทียบกับจำนวนของเครื่องทั้งหมด หากเจ้าหน้าที่นำเครื่องดังกล่าวไปใช้งานก็จะส่งผลกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่เครื่องวัดได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้บริการสอบเทียบเครื่องวัดแอลกอฮอล์ฯ ขอเชิญชวนให้หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ตรวจวัดแอลกอฮอล์นำเครื่องมาทำการสอบเทียบก่อนนำไปใช้งานในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ที่สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-295-0000-9 ต่อ 99770, 99956
นายแพทย์ พิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ใกล้จะถึงนี้เป็นช่วงที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประชาชนส่วนใหญ่ที่ทำงานต่างถิ่นใช้ช่วงเวลานี้ เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบญาติ และเฉลิมฉลองกับครอบครัว ซึ่งในช่วงนี้อาจมีอุบัติเหตุจราจรทางบกเกิดขึ้นได้ โดยสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง คือการที่ผู้ขับขี่ยานพาหนะดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จากสถิติอุบัติเหตุจราจรทางบกในช่วงเทศกาลสำคัญ นับตั้งแต่ปี 2549-2555 พบว่า มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลนี้เป็นจำนวนมาก แม้หลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจะร่วมมือร่วมใจกันรณรงค์ “เมาไม่ขับ” เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุก็ตาม แต่การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก็ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการจราจรทางบก หน่วยงานภาครัฐได้จัดตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ หากมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งในการวัดแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีการเป่าลมหายใจ เป็นวิธีที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือด เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายให้ผลวิเคราะห์ที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ ทั้งนี้เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดต้องได้รับการสอบเทียบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจในความถูกต้อง แม่นยำ ของตัวเลขที่ชี้ว่าผู้ขับขี่กระทำผิดกฎหมายหรือไม่
นายแพทย์ พิพนธ์ กล่าวอีกว่า ข้อกำหนดของเครื่องมือ กำหนดให้เครื่องต้องได้รับการสอบเทียบใหม่ทุก 6 เดือน เนื่องจากเครื่องมีหัววัดแบบเซลล์ไฟฟ้าเคมี ซึ่งคุณภาพของหัววัดจะเสื่อมสภาพลงตามระยะเวลาการใช้งาน ดังนั้นต้องนำเครื่องมาทำสอบเทียบใหม่ตามข้อกำหนดเพื่อปรับให้หัววัดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลเครื่องวัดแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ โดย สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในปีงบประมาณ 2555 ที่หน่วยงานต่างๆ เช่นกรมการขนส่งทางบก สถานีตำรวจ นครบาล สถานีตำรวจภูธร สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โรงพยาบาล และหน่วยงานอื่นๆ ส่งสอบเทียบยังสำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ จำนวน 2,558 เครื่อง พบว่า มีเครื่องอ่านค่าตรงตามเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 1,338 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 52.3 เครื่องอ่านค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดและต้องทำการปรับค่าใหม่ จำนวน 1,086 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 42.5 และเครื่องที่ชำรุด จำนวน 134 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 5.2 โดยส่วนใหญ่เครื่องที่ชำรุดมีสาเหตุมาจากหัววัดเสื่อมสภาพ การขาดการดูแลและการบำรุงรักษา เป็นต้น จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ฯ ที่อ่านค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดและต้องทำการปรับค่าใหม่มีจำนวนสูงมาก เมื่อเทียบกับจำนวนของเครื่องทั้งหมด หากเจ้าหน้าที่นำเครื่องดังกล่าวไปใช้งานก็จะส่งผลกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่เครื่องวัดได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้บริการสอบเทียบเครื่องวัดแอลกอฮอล์ฯ ขอเชิญชวนให้หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ตรวจวัดแอลกอฮอล์นำเครื่องมาทำการสอบเทียบก่อนนำไปใช้งานในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ที่สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-295-0000-9 ต่อ 99770, 99956