“หมอประดิษฐ” ฟุ้งเมดิคัล ฮับของไทย ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในเอเชีย ต่างชาติแห่ใช้บริการกว่า 2.5 ล้านคน ด้านกาตาร์สนใจลงทุนร่วมภาคบริการเชิงสุขภาพ
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัด สธ. และ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้การต้อนรับนายอาหมัด โมฮัมเมด แอล-เซเยด กรรมการผู้จัดการและประธานบริหารกาตาร์ โฮลดิง แอลแอลซีและคณะ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความร่วมมือด้านสาธารณสุข เพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนในภาคบริการเชิงสุขภาพของไทย โดยเฉพาะด้านโรงพยาบาล
นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้บรรจุให้นโยบายเมดดิคัลฮับ (Medical Hub) อยู่ภายในนโยบายรัฐบาลด้านสังคมและคุณภาพชีวิต เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศผลิตภัณฑ์และการบริการด้านสุขภาพ การรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย โดยเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2556 ที่จะสนับสนุนนโยบายการเสริมสร้างรายได้ที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพของประเทศ ทั้งด้านยาสมุนไพรไทย อาหาร สินค้าพื้นเมือง รวมถึงการเป็นศูนย์กลางสุขภาพโดยไม่เกิดผลกระทบลบต่อระบบบริการภาครัฐ
นพ.ประดิษฐ กล่าวต่อว่า ประเทศกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในตะวันออกกลาง สนใจ และต้องการที่จะมาพัฒนาธุรกิจร่วมกับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจด้านบริการสุขภาพ เนื่องจากไทยมีศักยภาพทางด้านนี้สูงมาก และน่าจะเป็นอันดับ 1 ในทวีปเอเชียในขณะนี้ ประเทศกาตาร์ให้ความสนใจอยากจะมาลงทุนธุรกิจด้านนี้กับประเทศไทย โดยจะมีจัดทำรายละเอียดความร่วมมือ และติดตามผลในช่วง 2-3 เดือนต่อไป ในส่วนของประเทศไทย สธ.ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารขับเคลื่อนนโยบายเมดดิคัลฮับของประเทศ ได้ประสานความร่วมมือระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนที่สนใจ หรือต้องการรับการสนับสนุนเรื่องของทุนในการพัฒนาให้โรงพยาบาลมีคุณภาพ สามารถให้บริการชาวต่างชาติได้มากขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป การลงทุนดังกล่าวขึ้นอยู่กับทิศทางการวางแผนให้การบริการสุขภาพ
“ขณะนี้ มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามารับบริการสุขภาพในประเทศไทยประมาณ 2.5 ล้านคน มีอัตราเติบโต 16 เปอร์เซ็นต์ และภายใน 5 ปีนี้ มีนโยบายจะขยายอัตราการเติบโตให้ได้ 2 เท่าตัวของปัจจุบัน” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงพยาบาลเอกชนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานนานาชาติ แบบเจซีไอ (JCI : Joint commission International) รวม 23 แห่ง โดยโรงพยาบาลเหล่านี้จะมีบริการเฉพาะสำหรับชาวต่างชาติได้แก่ ล่าม หอผู้ป่วยเฉพาะ บริการอาหาร บุคลากร บริการต่ออายุวีซ่า หรือบริการตามหลักศาสนา และยังมีโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการจัดบริการผู้ป่วยต่างชาติอีกประมาณ 15 แห่ง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำเว็บไซต์ด้านเมดดิคัลฮับ คือ www.thailand medicalhub.net สามารถให้โรงพยาบาลเอกชนเชื่อมโยงฐานข้อมูลสุขภาพและบริการได้ และสามารถสืบค้นข้อมูลได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว (One Stop Service Center) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อให้บริการชาวต่างชาติแบบครบวงจร ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะนี้ธุรกิจสปาไทยและนวดแผนไทยกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง ส่วนใหญ่ให้บริการตามโรงแรมขนาดใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพัก และมีแนวโน้มเปิดบริการในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้น
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัด สธ. และ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้การต้อนรับนายอาหมัด โมฮัมเมด แอล-เซเยด กรรมการผู้จัดการและประธานบริหารกาตาร์ โฮลดิง แอลแอลซีและคณะ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความร่วมมือด้านสาธารณสุข เพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนในภาคบริการเชิงสุขภาพของไทย โดยเฉพาะด้านโรงพยาบาล
นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้บรรจุให้นโยบายเมดดิคัลฮับ (Medical Hub) อยู่ภายในนโยบายรัฐบาลด้านสังคมและคุณภาพชีวิต เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศผลิตภัณฑ์และการบริการด้านสุขภาพ การรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย โดยเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2556 ที่จะสนับสนุนนโยบายการเสริมสร้างรายได้ที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพของประเทศ ทั้งด้านยาสมุนไพรไทย อาหาร สินค้าพื้นเมือง รวมถึงการเป็นศูนย์กลางสุขภาพโดยไม่เกิดผลกระทบลบต่อระบบบริการภาครัฐ
นพ.ประดิษฐ กล่าวต่อว่า ประเทศกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในตะวันออกกลาง สนใจ และต้องการที่จะมาพัฒนาธุรกิจร่วมกับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจด้านบริการสุขภาพ เนื่องจากไทยมีศักยภาพทางด้านนี้สูงมาก และน่าจะเป็นอันดับ 1 ในทวีปเอเชียในขณะนี้ ประเทศกาตาร์ให้ความสนใจอยากจะมาลงทุนธุรกิจด้านนี้กับประเทศไทย โดยจะมีจัดทำรายละเอียดความร่วมมือ และติดตามผลในช่วง 2-3 เดือนต่อไป ในส่วนของประเทศไทย สธ.ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารขับเคลื่อนนโยบายเมดดิคัลฮับของประเทศ ได้ประสานความร่วมมือระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนที่สนใจ หรือต้องการรับการสนับสนุนเรื่องของทุนในการพัฒนาให้โรงพยาบาลมีคุณภาพ สามารถให้บริการชาวต่างชาติได้มากขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป การลงทุนดังกล่าวขึ้นอยู่กับทิศทางการวางแผนให้การบริการสุขภาพ
“ขณะนี้ มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามารับบริการสุขภาพในประเทศไทยประมาณ 2.5 ล้านคน มีอัตราเติบโต 16 เปอร์เซ็นต์ และภายใน 5 ปีนี้ มีนโยบายจะขยายอัตราการเติบโตให้ได้ 2 เท่าตัวของปัจจุบัน” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นพ.ชาญวิทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงพยาบาลเอกชนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานนานาชาติ แบบเจซีไอ (JCI : Joint commission International) รวม 23 แห่ง โดยโรงพยาบาลเหล่านี้จะมีบริการเฉพาะสำหรับชาวต่างชาติได้แก่ ล่าม หอผู้ป่วยเฉพาะ บริการอาหาร บุคลากร บริการต่ออายุวีซ่า หรือบริการตามหลักศาสนา และยังมีโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการจัดบริการผู้ป่วยต่างชาติอีกประมาณ 15 แห่ง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำเว็บไซต์ด้านเมดดิคัลฮับ คือ www.thailand medicalhub.net สามารถให้โรงพยาบาลเอกชนเชื่อมโยงฐานข้อมูลสุขภาพและบริการได้ และสามารถสืบค้นข้อมูลได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว (One Stop Service Center) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อให้บริการชาวต่างชาติแบบครบวงจร ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะนี้ธุรกิจสปาไทยและนวดแผนไทยกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง ส่วนใหญ่ให้บริการตามโรงแรมขนาดใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพัก และมีแนวโน้มเปิดบริการในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้น