“ชินภัทร” เล็งประสาน ก.ศึกษาฯ 9 ประเทศอาเซียน ถามความเห็นเลื่อนเปิด-ปิดเรียนตามอาเซียนหรือไม่ ชี้ หากไม่เลื่อน สพฐ.ก็ไม่จำเป็น พร้อมเผยข้อมูลเปิด-ปิดเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานกลุ่มอาเซียน พบไทยอยู่ในกลุ่มประเทศส่วนใหญ่ที่เปิดประมาณกลางปี เดือน พ.ค., มิ.ย., ก.ค.เตรียมส่ง “สุชาติ” พิจารณา
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า สพฐ.ได้รวบรวมข้อมูลการเปิด-ปิดภาคเรียนของโรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศยกเว้นประเทศไทย ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม เพื่อนำข้อมูลมาทำข้อเสนอแนะต่อ รมว.ศึกษาธิการ ประกอบการพิจารณาตัดสินใจว่าควรจะมีการปรับเปลี่ยน กำหนดการเปิด-ปิดภาคเรียน ของโรงเรียนในสังกัด สพฐ.หรือไม่
โดยจากข้อมูลที่รวบรวมมาได้ พบว่า การเปิด-ปิดภาคเรียนในกลุ่มประเทศอาเซียนมีความหลากหลายมาก แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ กลุ่มแรก มีการเปิด-ปิดภาคเรียนโดยยึดตามปีปฏิทิน คือ เริ่มเปิดเรียนตั้งแต่เดือนมกราคม และสิ้นสุดปีการศึกษาในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งประเทศที่ใช้ระบบนี้มี 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไนดารุสซาลาม และกลุ่มสอง จะเริ่มเปิดเทอมประมาณกลางปี ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม มิถุนายน และ กรกฎาคม ซึ่งมีประเทศกลุ่มอาเซียนกลุ่มใหญ่รวมทั้งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มนี้ ยกเว้นเพียงกัมพูชา ประเทศเดียวที่เปิดเดือนตุลาคม แต่ไม่มีประเทศใดเปิดเทอมช่วงเดือนกันยายน
นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว สพฐ.คิดว่า ควรจะมีการปรึกษาหารือในกลุ่มประเทศอาเซียนก่อน ว่าแต่ละประเทศจะเลื่อนกำหนดเปิด-ปิดภาคเรียนของระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือไม่ โดย สพฐ.จะทำหนังสือสอบถามไปยังกระทรวงศึกษาธิการของทั้ง 9 ประเทศ ว่า มีประเทศใดมีกำหนดจะเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียน ถ้าประเทศต่างๆ ในอาเซียนไม่ปรับเปลี่ยนกำหนดเปิด-ปิดภาคเรียน การที่ประเทศไทยจะเลื่อนกำหนดเปิด-ปิด ภาคเรียนเป็นเดือนกันยายนนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรนัก
“โดยเฉพาะนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะไม่ค่อยเคลื่อนย้ายไปเรียนประเทศต่างๆ เหมือนระดับอุดมศึกษา เด็กเล็กส่วนใหญ่จะเรียนอยู่กับบ้าน เพราะฉะนั้น ในความเห็นของ สพฐ.ยืนยันว่า ระบบเปิด-ปิดภาคเรียนที่ใช้อยู่เหมาะสมแล้ว เด็กและผู้ปกครองต่างก็คุ้นเคยกับระบบนี้แล้ว เพราะเป็นระบบที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย อีกทั้งจำนวนนักเรียนและผู้ปกครองก็มีถึง 20 ล้านคน เรียกว่า เกือบครึ่งของประเทศแล้วถือว่าเป็นคนจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าจะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบก่อน เรื่องการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับประเทศอื่น ยังถือว่าเป็นเหตุผลที่ไกลตัว” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า สพฐ.ได้รวบรวมข้อมูลการเปิด-ปิดภาคเรียนของโรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศยกเว้นประเทศไทย ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม เพื่อนำข้อมูลมาทำข้อเสนอแนะต่อ รมว.ศึกษาธิการ ประกอบการพิจารณาตัดสินใจว่าควรจะมีการปรับเปลี่ยน กำหนดการเปิด-ปิดภาคเรียน ของโรงเรียนในสังกัด สพฐ.หรือไม่
โดยจากข้อมูลที่รวบรวมมาได้ พบว่า การเปิด-ปิดภาคเรียนในกลุ่มประเทศอาเซียนมีความหลากหลายมาก แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ กลุ่มแรก มีการเปิด-ปิดภาคเรียนโดยยึดตามปีปฏิทิน คือ เริ่มเปิดเรียนตั้งแต่เดือนมกราคม และสิ้นสุดปีการศึกษาในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งประเทศที่ใช้ระบบนี้มี 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไนดารุสซาลาม และกลุ่มสอง จะเริ่มเปิดเทอมประมาณกลางปี ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม มิถุนายน และ กรกฎาคม ซึ่งมีประเทศกลุ่มอาเซียนกลุ่มใหญ่รวมทั้งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มนี้ ยกเว้นเพียงกัมพูชา ประเทศเดียวที่เปิดเดือนตุลาคม แต่ไม่มีประเทศใดเปิดเทอมช่วงเดือนกันยายน
นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว สพฐ.คิดว่า ควรจะมีการปรึกษาหารือในกลุ่มประเทศอาเซียนก่อน ว่าแต่ละประเทศจะเลื่อนกำหนดเปิด-ปิดภาคเรียนของระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือไม่ โดย สพฐ.จะทำหนังสือสอบถามไปยังกระทรวงศึกษาธิการของทั้ง 9 ประเทศ ว่า มีประเทศใดมีกำหนดจะเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียน ถ้าประเทศต่างๆ ในอาเซียนไม่ปรับเปลี่ยนกำหนดเปิด-ปิดภาคเรียน การที่ประเทศไทยจะเลื่อนกำหนดเปิด-ปิด ภาคเรียนเป็นเดือนกันยายนนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรนัก
“โดยเฉพาะนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะไม่ค่อยเคลื่อนย้ายไปเรียนประเทศต่างๆ เหมือนระดับอุดมศึกษา เด็กเล็กส่วนใหญ่จะเรียนอยู่กับบ้าน เพราะฉะนั้น ในความเห็นของ สพฐ.ยืนยันว่า ระบบเปิด-ปิดภาคเรียนที่ใช้อยู่เหมาะสมแล้ว เด็กและผู้ปกครองต่างก็คุ้นเคยกับระบบนี้แล้ว เพราะเป็นระบบที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย อีกทั้งจำนวนนักเรียนและผู้ปกครองก็มีถึง 20 ล้านคน เรียกว่า เกือบครึ่งของประเทศแล้วถือว่าเป็นคนจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าจะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบก่อน เรื่องการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับประเทศอื่น ยังถือว่าเป็นเหตุผลที่ไกลตัว” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
