“วิทยา” แนะประชาชนใช้เทศกาลกินเจ ปลูกฝังการกินผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน วันละครึ่งกิโลกรัม ช่วยลดเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ 20% พร้อมชู “กล้วยไข่” มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารต้านโรคมะเร็งถึง 3 ชนิด สามารถกินแทนข้าวได้
วันนี้ (15 ต.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “สารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพง ประจำปี 2555” จ.กำแพงเพชร ว่า ช่วงเทศกาลกินเจ ประชาชนจะหันมากินผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นผลดีหากมีการกินอย่างต่อเนื่องเป็นประจำในเมนูอาหารทุกมื้อ เนื่องจากมีผลวิจัยทั่วโลก ยืนยันว่า การกินผักและผลไม้สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นปัญหาของคนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับหนึ่งติดต่อกันมากกว่า 10 ปี ล่าสุดรายงานในปี 2553 มีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็ง 58,076 ราย สธ.จึงมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยเพิ่มการกินผักและผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารแต่ละมื้อ หรือประมาณวันละครึ่งกิโลกรัม ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ร้อยละ 20 หรือมากกว่า โดยมีผลการศึกษาทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า 1 ใน 3 ของคนที่เป็นโรคมะเร็ง มีสาเหตุมาจากอาหาร
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ในผักและผลไม้มีน้ำเป็นส่วนประกอบร้อยละ 70-80 เป็นน้ำที่ไม่มีสารพิษและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีวิตามิน เกลือแร่ และกากใยมาก โดยวิตามินและเกลือแร่จะช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกายเกิดความสมดุลแข็งแรง ส่วนกากใยจะทำหน้าที่ดูดซับสารพิษหรือสารอาหารส่วนเกิน อาทิ ไขมัน น้ำตาล แล้วขับถ่ายออกไป ทำให้ลำไส้ไม่มีสิ่งหมักหมม ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคเบาหวานได้
“วิตามินบีจะช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้ความจำดีขึ้น วิตามินซีและวิตามินอี จะสร้างความสมดุลระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้ไม่ป่วยง่าย กากใยก็จะช่วยดูดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคนและชาวไทยที่มีเชื้อสายจีนใช้เทศกาลเจ เป็นจุดเริ่มต้นของการกินผักผลไม้อย่างต่อเนื่องให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันการเกิดโรค” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นายวิทยา กล่าวด้วยว่า สำหรับกล้วยไข่ ซึ่ง จ.กำแพงเพชร เป็นแหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงของประเทศ และเป็นผลไม้คู่กับเทศกาลสารทไทยด้วย จากงานวิจัยของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่า มีประโยชน์สูง โดยมีวิตามินอี เบต้าแคโรทีน และวิตามีนซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง หรือทำให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ รวมทั้งโรคตาต้อกระจกได้ ผลการวิจัยพบว่าในกล้วยไข่ 1 ผล ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 40 กรัม มีเบต้าแคโรทีน 108 ไมโครกรัม มีวิตามินอี 0.19 มิลลิกรัม วิตามินซี 4 มิลลิกรัม และให้พลังงาน 44 กิโลแคลอรี่ ในการกินนั้น แนะนำให้กินกล้วยไข่แทนข้าวได้ 2 ผล เด็กกินได้ 1-2 ผล จะต้องลดปริมาณข้าวลง เพราะกล้วยไข่ 2 ผลเท่ากับข้าว 1 ทัพพี หากแปรรูปทำเป็นกล้วยไข่อบแห้ง จะต้องไม่ใส่น้ำตาล หากนำไปทอดให้ระวังเรื่องน้ำมัน ส่วนการเชื่อมต้องระวังเรื่องความหวาน โดยเด็กสามารถกินกล้วยฉาบแทนขนมกรุบกรอบได้ เพราะมีประโยชน์มากกว่า
วันนี้ (15 ต.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “สารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพง ประจำปี 2555” จ.กำแพงเพชร ว่า ช่วงเทศกาลกินเจ ประชาชนจะหันมากินผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นผลดีหากมีการกินอย่างต่อเนื่องเป็นประจำในเมนูอาหารทุกมื้อ เนื่องจากมีผลวิจัยทั่วโลก ยืนยันว่า การกินผักและผลไม้สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นปัญหาของคนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับหนึ่งติดต่อกันมากกว่า 10 ปี ล่าสุดรายงานในปี 2553 มีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็ง 58,076 ราย สธ.จึงมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยเพิ่มการกินผักและผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารแต่ละมื้อ หรือประมาณวันละครึ่งกิโลกรัม ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ร้อยละ 20 หรือมากกว่า โดยมีผลการศึกษาทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า 1 ใน 3 ของคนที่เป็นโรคมะเร็ง มีสาเหตุมาจากอาหาร
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ในผักและผลไม้มีน้ำเป็นส่วนประกอบร้อยละ 70-80 เป็นน้ำที่ไม่มีสารพิษและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีวิตามิน เกลือแร่ และกากใยมาก โดยวิตามินและเกลือแร่จะช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกายเกิดความสมดุลแข็งแรง ส่วนกากใยจะทำหน้าที่ดูดซับสารพิษหรือสารอาหารส่วนเกิน อาทิ ไขมัน น้ำตาล แล้วขับถ่ายออกไป ทำให้ลำไส้ไม่มีสิ่งหมักหมม ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคเบาหวานได้
“วิตามินบีจะช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้ความจำดีขึ้น วิตามินซีและวิตามินอี จะสร้างความสมดุลระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้ไม่ป่วยง่าย กากใยก็จะช่วยดูดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคนและชาวไทยที่มีเชื้อสายจีนใช้เทศกาลเจ เป็นจุดเริ่มต้นของการกินผักผลไม้อย่างต่อเนื่องให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันการเกิดโรค” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นายวิทยา กล่าวด้วยว่า สำหรับกล้วยไข่ ซึ่ง จ.กำแพงเพชร เป็นแหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงของประเทศ และเป็นผลไม้คู่กับเทศกาลสารทไทยด้วย จากงานวิจัยของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่า มีประโยชน์สูง โดยมีวิตามินอี เบต้าแคโรทีน และวิตามีนซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง หรือทำให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ รวมทั้งโรคตาต้อกระจกได้ ผลการวิจัยพบว่าในกล้วยไข่ 1 ผล ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 40 กรัม มีเบต้าแคโรทีน 108 ไมโครกรัม มีวิตามินอี 0.19 มิลลิกรัม วิตามินซี 4 มิลลิกรัม และให้พลังงาน 44 กิโลแคลอรี่ ในการกินนั้น แนะนำให้กินกล้วยไข่แทนข้าวได้ 2 ผล เด็กกินได้ 1-2 ผล จะต้องลดปริมาณข้าวลง เพราะกล้วยไข่ 2 ผลเท่ากับข้าว 1 ทัพพี หากแปรรูปทำเป็นกล้วยไข่อบแห้ง จะต้องไม่ใส่น้ำตาล หากนำไปทอดให้ระวังเรื่องน้ำมัน ส่วนการเชื่อมต้องระวังเรื่องความหวาน โดยเด็กสามารถกินกล้วยฉาบแทนขนมกรุบกรอบได้ เพราะมีประโยชน์มากกว่า