อธิบดีกรมทรัพย์สินฯ ชี้ ทำเอฟทีเอไทย-อียู กระทบการเข้าถึงยาของคนไทย ย้ำ ต้องรอบคอบ นักวิชาการแนะควรเจรจาเฉพาะส่วน อย่าเอาประเด็นทางสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมไปแลก ด้าน สธ.เตรียมร่อนหนังสือชี้แจง พณ.ขยายอายุคุ้มครองสิทธิบัตรทำไทยเสียงบนำเข้ายามากขึ้น ผลิตเองได้น้อยลง
วันนี้ (18 ก.ย.) นางปัจฉิมา ธนสมบัติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความพยายามของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่พยายามเร่งให้มีการเริ่มเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปในรายการเช้าทันโลก เอฟเอ็ม 96.5 ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ต้องทำอย่างรอบคอบ และหากไทยไปยอมรับความตกลงที่เกินไปกว่าทริปส์ตามที่สหภาพยุโรปต้องการ จะนำไปสู่การแก้กฎหมายซึ่งประเทศสมาชิกอื่นๆ ขององค์การการค้าโลกจะมาเรียกร้องขอใช้ประโยชน์ด้วย
“เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหนึ่งในข้อการเจรจาเอฟทีเอไทย-ยุโรป ที่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องเข้าไปมีส่วน ของกรมฯ เห็นว่า ต้องรอบคอบ เพราะเท่ากับเป็นการขยายเวลาสิทธิบัตรที่จดทะเบียนเอาไว้ ทางกรมฯเห็นว่า น่าจะต้องมีเอกสารหลักฐานข้อดี ผลกระทบอย่างไรจะเกิดขึ้น และที่ตามมา คือ ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย ต้องศึกษาประเทศอื่นๆ ว่า เป็นเช่นไร ไม่ใช่ทำกันบางประเทศ แล้วไปยอมรับมา น่าจะดูผลประโยชน์ส่วนใหญ่ เพราะจะมีปัญหากับการเข้าถึงยาของประชาชนด้วย ยาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป แล้วประเทศอื่นๆก็จะมาขอ เราจะไม่ให้ก็เป็นปัญหา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องใหญ่” นางปัจฉิมา กล่าว
เมื่อถามว่า ได้ให้ข้อมูลกับกรมเจรจาฯบ้างหรือไม่ เพราะกรมเจรจาฯทำจุดยืนเสนอ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ว่า การยอมรับทริปส์พลัสจะไม่มีผลกระทบต่อการเข้าถึงยา นางปัจฉิมา กล่าวว่า แจ้งไปว่ามีกระทบและต้องแก้ไขกฎหมายอยู่แล้ว ต้องมีการชี้แจงหลายเรื่อง อีกทั้งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาข้อบทที่เกี่ยวกับเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรปตรงๆ จึงควรรอบคอบ
รศ.ชโยดม สรรพศรี คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวในการสัมมนา “Thai Trade Policy at A Crossroads: TPP, AEC, FTAs, and Beyond” ที่จุฬาฯ ว่า ปัญหาของประเทศไทย คือ แผนแม่บทในการเจรจาการค้า ทำให้ไม่มีทิศทาง หากไทยคิดจะเข้าสู่การเจรจาความตกลงข้ามแปซิฟิก (TPPA) ที่สหรัฐฯกำลังเป็นเจ้าภาพต้องคิดให้หนัก เพราะมีต้นทุนสูง และไทยไม่น่ามีความพร้อม และควรเน้นเรื่องอาเซียนมากกว่า
ด้าน ดร.รัชดา เจียสกุล ผู้จัดการอาวุโสบริษัท ไบรอัน เคฟ (ประเทศไทย) ซึ่งทำการศึกษาผลได้จาก TPPA ให้กับกรมเจรจาฯ ให้ความเห็นว่า การเจรจาการค้าที่ใช้หลักการ Single Undertaking หรือ เอาต้องเอาทั้งหมด ไม่เอาก็จะไม่ได้ทั้งหมด ต้องทบทวน เพราะปัจจุบันการเจรจาการค้ามีประเด็นทางสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมสูง ถ้ารัฐบาลเห็นว่า บางภาคเศรษฐกิจ เช่นบริการ หรือสินค้า จะได้ประโยชน์ ก็ควรเจรจาเฉพาะส่วน น่าจะเหมาะสมกว่า
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวระบุว่า สธ.ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์แสดงความห่วงใยต่อข้อเรียกร้องของทางอียู ที่ขอให้ 1.การขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรอย่างน้อย 5 ปี 2.การคุ้มครองข้อมูลในรูปแบบการได้รับสิทธิพิเศษเพียงผู้เดียวเหนือข้อมูล ที่ยื่นทะเบียนยาครั้งแรกและครั้งต่อไป อย่างน้อย 5 ปี (Data exclusivity) และ 3.การจับยึด อายัด หรือทำลายสินค้ายาและเวชภัณฑ์ที่สงสัยว่าอาจจะละเมิดสิทธิบัตรหรือทรัพย์สิน ทางปัญญาประเภทอื่นๆ ณ จุดผ่านแดน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบโดยตรงอย่างรุนแรงต่อการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ของรัฐ สธ.ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาโดยกรณี พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2535 ที่มีการแก้ไขขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรจาก 15 ปี เป็น 20 ปีและการเพิ่มความคุ้มครองสิทธิบัตรยา ส่งผลให้เกิดความพลิกผันของมูลค่าการใช้จ่ายยาในประเทศ ระหว่างยานำเข้าและมีสิทธิบัตรกับยาผลิตในประเทศ จากเดิมที่มูลค่าการใช้ยานำเข้าอยู่ที่ 34% และมูลค่าการใช้ยาผลิตในประเทศอยู่ที่ 66% ของมูลค่าการใช้ยาทั้งประเทศ แต่ปัจจุบันมูลค่าการใช้ยานำเข้าอยู่ที่ 77% ขณะที่มูลค่าการใช้ยาที่ผลิตในประเทศเหลือเพียงแค่ 23% เท่านั้น จากมูลค่ายา ของทั้งประเทศอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท (ข้อมูลปี 2554) ทั้งนี้ เนื่องมาจากการนำเข้ายาสิทธิบัตรที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่องบประมาณภาครัฐ ความยั่งยืนการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตและการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมยาภาย ในประเทศอย่างมาก เกิดการชะลอผลิตยาสามัญใหม่ๆ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้
วันนี้ (18 ก.ย.) นางปัจฉิมา ธนสมบัติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความพยายามของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่พยายามเร่งให้มีการเริ่มเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปในรายการเช้าทันโลก เอฟเอ็ม 96.5 ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ต้องทำอย่างรอบคอบ และหากไทยไปยอมรับความตกลงที่เกินไปกว่าทริปส์ตามที่สหภาพยุโรปต้องการ จะนำไปสู่การแก้กฎหมายซึ่งประเทศสมาชิกอื่นๆ ขององค์การการค้าโลกจะมาเรียกร้องขอใช้ประโยชน์ด้วย
“เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหนึ่งในข้อการเจรจาเอฟทีเอไทย-ยุโรป ที่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องเข้าไปมีส่วน ของกรมฯ เห็นว่า ต้องรอบคอบ เพราะเท่ากับเป็นการขยายเวลาสิทธิบัตรที่จดทะเบียนเอาไว้ ทางกรมฯเห็นว่า น่าจะต้องมีเอกสารหลักฐานข้อดี ผลกระทบอย่างไรจะเกิดขึ้น และที่ตามมา คือ ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย ต้องศึกษาประเทศอื่นๆ ว่า เป็นเช่นไร ไม่ใช่ทำกันบางประเทศ แล้วไปยอมรับมา น่าจะดูผลประโยชน์ส่วนใหญ่ เพราะจะมีปัญหากับการเข้าถึงยาของประชาชนด้วย ยาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป แล้วประเทศอื่นๆก็จะมาขอ เราจะไม่ให้ก็เป็นปัญหา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องใหญ่” นางปัจฉิมา กล่าว
เมื่อถามว่า ได้ให้ข้อมูลกับกรมเจรจาฯบ้างหรือไม่ เพราะกรมเจรจาฯทำจุดยืนเสนอ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ว่า การยอมรับทริปส์พลัสจะไม่มีผลกระทบต่อการเข้าถึงยา นางปัจฉิมา กล่าวว่า แจ้งไปว่ามีกระทบและต้องแก้ไขกฎหมายอยู่แล้ว ต้องมีการชี้แจงหลายเรื่อง อีกทั้งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาข้อบทที่เกี่ยวกับเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรปตรงๆ จึงควรรอบคอบ
รศ.ชโยดม สรรพศรี คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวในการสัมมนา “Thai Trade Policy at A Crossroads: TPP, AEC, FTAs, and Beyond” ที่จุฬาฯ ว่า ปัญหาของประเทศไทย คือ แผนแม่บทในการเจรจาการค้า ทำให้ไม่มีทิศทาง หากไทยคิดจะเข้าสู่การเจรจาความตกลงข้ามแปซิฟิก (TPPA) ที่สหรัฐฯกำลังเป็นเจ้าภาพต้องคิดให้หนัก เพราะมีต้นทุนสูง และไทยไม่น่ามีความพร้อม และควรเน้นเรื่องอาเซียนมากกว่า
ด้าน ดร.รัชดา เจียสกุล ผู้จัดการอาวุโสบริษัท ไบรอัน เคฟ (ประเทศไทย) ซึ่งทำการศึกษาผลได้จาก TPPA ให้กับกรมเจรจาฯ ให้ความเห็นว่า การเจรจาการค้าที่ใช้หลักการ Single Undertaking หรือ เอาต้องเอาทั้งหมด ไม่เอาก็จะไม่ได้ทั้งหมด ต้องทบทวน เพราะปัจจุบันการเจรจาการค้ามีประเด็นทางสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมสูง ถ้ารัฐบาลเห็นว่า บางภาคเศรษฐกิจ เช่นบริการ หรือสินค้า จะได้ประโยชน์ ก็ควรเจรจาเฉพาะส่วน น่าจะเหมาะสมกว่า
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวระบุว่า สธ.ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์แสดงความห่วงใยต่อข้อเรียกร้องของทางอียู ที่ขอให้ 1.การขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรอย่างน้อย 5 ปี 2.การคุ้มครองข้อมูลในรูปแบบการได้รับสิทธิพิเศษเพียงผู้เดียวเหนือข้อมูล ที่ยื่นทะเบียนยาครั้งแรกและครั้งต่อไป อย่างน้อย 5 ปี (Data exclusivity) และ 3.การจับยึด อายัด หรือทำลายสินค้ายาและเวชภัณฑ์ที่สงสัยว่าอาจจะละเมิดสิทธิบัตรหรือทรัพย์สิน ทางปัญญาประเภทอื่นๆ ณ จุดผ่านแดน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบโดยตรงอย่างรุนแรงต่อการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ของรัฐ สธ.ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาโดยกรณี พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2535 ที่มีการแก้ไขขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรจาก 15 ปี เป็น 20 ปีและการเพิ่มความคุ้มครองสิทธิบัตรยา ส่งผลให้เกิดความพลิกผันของมูลค่าการใช้จ่ายยาในประเทศ ระหว่างยานำเข้าและมีสิทธิบัตรกับยาผลิตในประเทศ จากเดิมที่มูลค่าการใช้ยานำเข้าอยู่ที่ 34% และมูลค่าการใช้ยาผลิตในประเทศอยู่ที่ 66% ของมูลค่าการใช้ยาทั้งประเทศ แต่ปัจจุบันมูลค่าการใช้ยานำเข้าอยู่ที่ 77% ขณะที่มูลค่าการใช้ยาที่ผลิตในประเทศเหลือเพียงแค่ 23% เท่านั้น จากมูลค่ายา ของทั้งประเทศอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท (ข้อมูลปี 2554) ทั้งนี้ เนื่องมาจากการนำเข้ายาสิทธิบัตรที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่องบประมาณภาครัฐ ความยั่งยืนการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตและการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมยาภาย ในประเทศอย่างมาก เกิดการชะลอผลิตยาสามัญใหม่ๆ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้