xs
xsm
sm
md
lg

จับตาศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีประวัติศาสตร์ “หมู่บ้านตะกั่ว” นัดแรก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จับตาศาลปกครองสูงสุด พิจารณาคดีประวัติศาสตร์ “คลิตี้ล่าง” หรือ “หมู่บ้านตะกั่ว” นัดแรกพรุ่งนี้  นักกฎหมายชี้ เป็นบรรทัดฐานคดีมลพิษ “กรีนพีซ” ย้ำ  รัฐต้องปกป้องประชาชนก่อนนายทุน ภาคประชาชนเสนอปฏิญญาคลิตี้เพื่อแก้และป้องกันปัญหาเชิงรุก

ในวันที่ 26 มิ.ย.2555 เวลา 09.30 น.นี้ ศาลปกครองสูงสุดได้นัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก กรณีชุมชนคลิตี้ล่าง ฟ้องกรมควบคุมมลพิษให้ปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมลำห้วยคลิตี้จากการปนเปื้อนสารตะกั่ว โดยตัวแทนชาวบ้านคลิตี้ล่างจะแถลงด้วยวาจาต่อศาลปกครองสูงสุดถึงผลกระทบจากการปนเปื้อนสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ที่ยังคงอยู่ เพื่อให้ศาลได้พิจารณาคดีวางบรรทัดฐานให้หน่วยงานรัฐปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้โดยรวดเร็วและเป็นธรรม และตุลาการผู้แถลงคดีจะได้มีการชี้แจงความเห็นของตนในการวินิจฉัยคดีด้วยวาจาต่อตุลาการองค์คณะพิจารณาพิพากษา

นายสุรชัย ตรงงาม ประธานโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ในฐานะทีมกฎหมายของชุมชนชาวคลิตี้กล่าว ว่า “คดีดังกล่าวจะกลายเป็นบรรทัดฐานคดีแรกที่ฟ้องให้หน่วยงานรัฐกำหนดมาตรการฟื้นฟูเยียวยาสิ่งแวดล้อมให้รวดเร็วและเป็นธรรม ในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนมลพิษ ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้างอันเป็นผลกระทบต่อชุมชน และยังเป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงถึงความล่าช้า และบกพร่องของหน่วยงานรัฐในการปกป้องสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับ กรณีมาบตาพุด กรณีการปนเปื้อนสารแคดเมียมในลำห้วยแม่ตาว จ.ตาก กรณีการปนเปื้อนโลหะหนักในลำน้ำและในเลือดของชาวบ้าน อ.วังสะพุง จังหวัดเลย และปัญหามลพิษอื่นๆ อีกมากมาย

“คดีนี้ยังถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งประชาชนฟ้องร้องหน่วยงานรัฐ คือ กรมควบคุมมลพิษให้ปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูการปนเปื้อนของมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และเรียกค่าเสียหายจากปัญหาที่เกิดขึ้น ชาวคลิตี้ต้องทนอยู่กับการปนเปื้อนของสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้มานานกว่า 14 ปี สิ่งที่ชาวคลิตี้ต้องการมากที่สุด คือ การได้ลำห้วยคลิตี้ที่สะอาดปราศจากสารตะกั่วกลับคืนมาเท่านั้น” นายสุรชัย กล่าว

นายพลาย ภิรมย์ ผู้จัดการรณรงค์ประจำประเทศไทย กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า กรณีสารตะกั่วปนเปื้อนห้วยคลิตี้เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายๆ กรณีที่แสดงให้เห็นถึงการเอาเปรียบของผู้ก่อมลพิษ หรือทุนอุตสาหกรรมที่แสวงหาผลกำไรจากการตักตวงทำลายทรัพยากรส่วนรวมและผลักภาระให้แก่ชุมชนเป็นผู้รับผลกระทบ ที่สำคัญ หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบมักจะเพิกเฉย หรือไม่ทำหน้าที่ในการปกป้องทรัพยากรและชุมชนเท่าที่ควร คดีดังกล่าวนอกจากจะกลายเป็นบรรทัดฐานเรื่องการบริหารจัดการนโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ปฏิญญาคลิตี้ 14 ข้อเป็นจริงด้วย

“ปฏิญญาดังกล่าวได้เกิดขึ้นจากปัญหาความเดือดร้อนที่ชุมชนถูกกระทำจากกลุ่มทุน และภาครัฐ ประชาชนจึงออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม และกระตุ้นภาครัฐให้คำนึงผลประโยชน์ของประชาชนและการรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมมากกว่าการปกป้องกลุ่มทุนอุตสาหกรรม ดังนั้นหากภาครัฐนำไปพิจารณาและปฏิบัติ ก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดิมๆ ขึ้นมาอีก และเป็นการพิสูจน์ถึงความตั้งใจที่ดีของภาครัฐ ทั้งนี้ หลังการพิจารณาคดี นักกิจกรรมกรีนพีซ จะจัดกิจกรรมสื่อสารเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวด้วย” นายพลาย กล่าว

ทั้งนี้ ปฏิญญาคลิตี้ เป็นบทเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กรณีปัญหาในพื้นที่ต่างๆ จนนำมาสู่การกำหนดปฏิญญาเพื่อเป็นแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาร่วมกัน ณ หมู่บ้านคลิตี้ล่าง ในวันที่ 27 พ.ค.2555 โดยมีหลักการสำคัญ คือ “ในพื้นที่ศักยภาพแร่ รวมถึงพื้นที่ที่ถูกกำหนดเป็นเป้าหมายอุตสาหกรรมนั้น ประชาชน ชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมต้องได้รับการพิจารณาคุ้มครองเป็นอันดับแรกก่อนการพิจารณาอนุญาตให้ประกอบกิจการและดำเนินการอุตสาหกรรม”
กำลังโหลดความคิดเห็น