รองกรมควบคุมโรค แย้ม 3 เดือนชัดเจนโครงการยาต้านไวรัสเอชไอวี ผลวิจัย ชี้ ยาต้านไวรัสช่วยลดปริมาณการติดเชื้อระหว่างคู่สมรส ได้ 80% แต่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมอีก
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ความคืบหน้าภายหลัง คร.มีแผนความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำยาต้านไวรัสเอชไอวีมาใช้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้มีการศึกษาวิจัยร่วมกันระหว่างประเทศต่างๆ ทั้งไทย สหรัฐฯ ซึ่งในไทยมีการศึกษาอาสาสมัครจำนวนหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ โดย รศ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการเจาะเลือดทดสอบในอาสาสมัครคู่สามีภรรยา โดยสามีติดเชื้อแต่ภรรยาไม่ติด ให้สามีรับยาต้านไวรัสเป็นประจำต่อเนื่องหลายปี และทำการตรวจเลือดสามี ซึ่งสามีใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย ทั้งนี้ การศึกษาจะใช้วิธีเจาะเลือดตรวจสอบว่าเลือดมีปริมาณเชื้อมากน้อยแค่ไหน ปรากฏว่า สามีภรรยาจำนวนหนึ่งป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีไปยังคู่สมรสได้ถึงร้อยละ 80 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า จะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้แล้ว เนื่องจากเป็นการศึกษาเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเฉพาะประเทศไทย เพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา คร.ได้หารือกับสภากาชาดไทยถึงการศึกษายืนยันเรื่องนี้ โดยมุ่งเน้นความเป็นไปได้ในประเทศไทยเป็นหลัก เนื่องจากเรื่องนี้ละเอียดอ่อน ต้องมีข้อมูลชัดเจน ส่วนการยืนยันประสิทธิภาพจะมีการศึกษาด้วยเช่นกัน เบื้องต้นจะศึกษากลุ่มตัวอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และแถบภาคอีสาน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการศึกษาเรื่องเอชไอวีไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม สำหรับการศึกษาครั้งนี้อยู่ระหว่างเตรียมแผนงาน โดยจะเป็นโครงการต่อเนื่องระยะเวลา 3-5 ปี ส่วนงบประมาณอยู่ระหว่างพิจารณา คาดว่า โครงการนี้จะมีรายละเอียดชัดเจนภายใน 3 เดือน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การใช้ยาต้านไวรัสจะเป็นสูตรใด รองอธิบดี คร.กล่าวว่า เป็นสูตรที่ใช้กันอยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งไมได้แตกต่าง แต่เรื่องนี้ต้องขอหารือในรายละเอียดก่อน จึงจะเปิดเผยได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สถานการณ์โรคเอดส์ของไทย จากการคาดประมาณตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ในปี 2554 คาดว่า มียอดสะสม 1,148,117 ราย ยังมีชีวิต 481,770 ราย และคาดว่า จะมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ 10,097 ราย โดยพบมากในกลุ่มฉีดยาเสพติดเข้าเส้น ร้อยละ 30-40 กลุ่มชายรักชาย ร้อยละ 10 พนักงานบริการชาย ร้อยละ 16 พนักงานบริการหญิง ร้อยละ 3
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ความคืบหน้าภายหลัง คร.มีแผนความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำยาต้านไวรัสเอชไอวีมาใช้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้มีการศึกษาวิจัยร่วมกันระหว่างประเทศต่างๆ ทั้งไทย สหรัฐฯ ซึ่งในไทยมีการศึกษาอาสาสมัครจำนวนหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ โดย รศ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการเจาะเลือดทดสอบในอาสาสมัครคู่สามีภรรยา โดยสามีติดเชื้อแต่ภรรยาไม่ติด ให้สามีรับยาต้านไวรัสเป็นประจำต่อเนื่องหลายปี และทำการตรวจเลือดสามี ซึ่งสามีใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย ทั้งนี้ การศึกษาจะใช้วิธีเจาะเลือดตรวจสอบว่าเลือดมีปริมาณเชื้อมากน้อยแค่ไหน ปรากฏว่า สามีภรรยาจำนวนหนึ่งป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีไปยังคู่สมรสได้ถึงร้อยละ 80 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า จะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้แล้ว เนื่องจากเป็นการศึกษาเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเฉพาะประเทศไทย เพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา คร.ได้หารือกับสภากาชาดไทยถึงการศึกษายืนยันเรื่องนี้ โดยมุ่งเน้นความเป็นไปได้ในประเทศไทยเป็นหลัก เนื่องจากเรื่องนี้ละเอียดอ่อน ต้องมีข้อมูลชัดเจน ส่วนการยืนยันประสิทธิภาพจะมีการศึกษาด้วยเช่นกัน เบื้องต้นจะศึกษากลุ่มตัวอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และแถบภาคอีสาน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการศึกษาเรื่องเอชไอวีไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม สำหรับการศึกษาครั้งนี้อยู่ระหว่างเตรียมแผนงาน โดยจะเป็นโครงการต่อเนื่องระยะเวลา 3-5 ปี ส่วนงบประมาณอยู่ระหว่างพิจารณา คาดว่า โครงการนี้จะมีรายละเอียดชัดเจนภายใน 3 เดือน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การใช้ยาต้านไวรัสจะเป็นสูตรใด รองอธิบดี คร.กล่าวว่า เป็นสูตรที่ใช้กันอยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งไมได้แตกต่าง แต่เรื่องนี้ต้องขอหารือในรายละเอียดก่อน จึงจะเปิดเผยได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สถานการณ์โรคเอดส์ของไทย จากการคาดประมาณตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ในปี 2554 คาดว่า มียอดสะสม 1,148,117 ราย ยังมีชีวิต 481,770 ราย และคาดว่า จะมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ 10,097 ราย โดยพบมากในกลุ่มฉีดยาเสพติดเข้าเส้น ร้อยละ 30-40 กลุ่มชายรักชาย ร้อยละ 10 พนักงานบริการชาย ร้อยละ 16 พนักงานบริการหญิง ร้อยละ 3