สาธารณสุขเชียงใหม่ชี้กลุ่มเยาวชนน่าเป็นห่วง เสี่ยงติดเอดส์เหตุไม่ใช้ถุงยาง

ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - สาธารณสุขเชียงใหม่ชี้กลุ่มเยาวชน-ชายรักชายเสี่ยงเป็นเอดส์พุ่งเหตุไม่นิยมใช้ถุงยางเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เตือนตัวเลขสถิติผู้ป่วยมาจากเฉพาะกลุ่มที่สมัครใจเจาะเลือดตรวจแต่กลุ่มที่ยังไม่รู้มีอีกเพียบ แนะกลุ่มเสี่ยงต้องรีบตรวจ หากพบติดเชื้อแต่รับยาต่อเนื่อง-ดูแลสุขภาพก็อายุยืนได้ ด้านสถาบันพลศึกษาติดกล่องบริการในถุงยางในสถาบันรับวันเอดส์โลก ผู้บริหารฯ เผยไม่ได้สนับสนุนให้เด็กมีเพศสัมพันธ์แต่สร้างทางเลือกเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์-ติดเอดส์

วันนี้ (1 ธ.ค.54) ที่ห้องประชุมพลบดี 1 ตึกเฉลิมพระเกียรติฯ สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ได้จัดกิจกรรม Condom Box and World Aids Day 2011 ขึ้น เนื่องในโอกาสวันเอดส์โลก 1 ธ.ค.

การจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานต่างๆ เนื่องในวันเอดส์โลก ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์” โดยมีคำขวัญในการรณรงค์ว่า “Getting to Zero” หรือ “เอดส์ลดแล้ว...ลดอีก” ซึ่งมีเป้าหมายใน 3 ประเด็นคือ การลดการติดเชื้อเอชไอวี การลดอุปสรรคของผู้ติดเชื่อเอชไอวี ในการเข้าถึงการให้บริการด้านสุขภาพ และการลดอคติและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วยเอชไอวี

นายแพทย์วัฒนา กาญจนกามล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคเอดส์ของจังหวัดเชียงใหม่ว่า นับตั้งแต่มีการพบผู้ติดเชื้อเอชไอวีในจังหวัดเชียงใหม่เป็นครั้งแรกปี พ.ศ. 2531 ปัจจุบันจากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2554 พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ทั้งสิ้น 23,355 ราย เป็นเพศชาย 15,874 ราย เพศหญิง 7,381 ราย ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตมีทั้งสิ้น 5,456 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25-39 ปี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างและเกษตรกรรม ขณะที่อำเภอที่มีอัตราผู้ป่วยสูงสุด 5 อันดับแรกจากสถิติในปี 2553 ได้แก่อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริม อำเภอสันทราย อำเภอเชียงดาวและอำเภอฝาง

นายแพทย์วัฒนากล่าวต่อไปว่า ข้อมูลดังกล่าวได้มาจากกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการเจาะเลือดตรวจโดยสมัครใจ ซึ่งหมายความว่าในความเป็นจริงแล้วยังมีผู้ป่วยในสังคมมากกว่านี้ เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนมากยังไม่ได้รับการตรวจเลือด มีเพียงกลุ่มหญิงตั้งครรภ์เท่านั้นที่จะได้รับการเจาะเลือดทุกคนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชไอวีที่อาจถ่ายทอดไปสู่ลูกในครรภ์ โดยในปัจจุบันพบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นวันละ 3 ราย หรือปีละประมาณ 1,000 ราย

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ยังระบุด้วยว่า ในปัจจุบันกลุ่มเยาวชนและกลุ่มชายรักชายถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่สถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการป้องกันตัวจากการคิดเชื้อต่ำ โดยจากการสำรวจพบว่ากลุ่มเยาวชนมีการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์เพียง 30-50% เท่านั้น

สำหรับการดำเนินการรณรงค์ในวันเอดส์โลก 1 ธ.ค. 2554 ตามคำขวัญ “Getting to Zero” หรือ “เอดส์ลดแล้ว...ลดอีก” นั้น นายแพทย์วัฒนากล่าวว่าจะมุ่งเน้นไปที่การลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีและจำนวนการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคเอดส์ รวมทั้งสร้างมาตรฐานการให้บริการสุขภาพแก่ผู้ป่วยโรคเอดส์เช่นเดียวกับคนปกติโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ พร้อมทั้งกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่าในปัจจุบันวิทยาการด้านการรักษาโรคเอดส์มีความก้าวหน้าไปมาก ปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพอยู่หลายชนิด ดังนั้นหากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ รับยาอย่างต่อเนื่องและดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงก็จะสามารถมีชีวิตยืนยาวได้

ขณะเดียวกันภายในงานดังกล่าวมีการเปิด Condom Box หรือกล่องให้บริการถุงยางอนามัยแก่นักศึกษาในราคาประหยัดขึ้นภายในสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่อีกด้วย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ โครงการให้ความรู้เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ในเยาวชน องค์การพีเอช-เจแปน และสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่

โดยนายชัยสิทธิ์ สุริยจันทร์ รองอธิการบดีสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่กล่าวว่า การติดตั้งกล่องให้บริการถุงยางอนามัยแก่นักศึกษานั้นไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้นักศึกษามีเพศสัมพันธ์ แต่เนื่องจากในปัจจุบันเยาวชนมีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น และส่วนมากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือปัญหาการตั้งครรภ์ตามมาได้

ดังนั้น การติดตั้งกล่องให้บริการถุงยางอนามัยจึงถือเป็นช่องทางหนึ่งในการป้องกันปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์แก่เยาวชนในสถาบันซึ่งโครงการให้ความรู้เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ในเยาวชน องค์การพีเอช-เจแปนได้ดำเนินการร่วมกับทางสถาบันต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปีแล้ว