กทม.ฟุ้งหลักสูตรโตไปไม่โกง ได้ผลน่าพอใจ เล็งขยายผลเรียนถึงชั้น ม.6 พร้อมทุ่มงบราว 70 ล้านบาท ทำหนังสั้น 15 เรื่อง สอดแทรกคุณธรรม 5 ประการ สื่อการ์ตูน หวังตั้งมูลนิธิให้ทันก่อน “สุขุมพันธุ์” หมดสมัย เพื่อให้เป็นโครงการระยะยาว ฟุ้งเดินหน้าเรียนฟรี 15 ปี เพิ่มค่าอาหารกลางวันอีก 5 บาท
นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า จากที่ กทม.ได้ดำเนินโครงการหลักสูตรโตไปไม่โกง ร่วมกับศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ เพื่อสร้างค่านิยม และปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องให้แก่เยาวชนในการร่วมกันต่อต้านการคอร์รัปชัน ซึ่งได้เปิดการเรียนการสอนในโรงเรียนสังกัด กทม.ระดับอนุบาล-ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้ว โดยจากการประเมินของนิด้า พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยเด็กเริ่มมีทัศนคติที่ดีขึ้น ทั้งนี้ เตรียมขยายการสอนหลักสูตรดังกล่าวในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งได้มีการอมรมครูไปเมื่อเร็วๆ นี้ และมีการเตรียมแบบเรียน เนื้อหาการเรียนการสอน และคาดว่า จะขยายไปถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รวมถึงพร้อมที่จะขยายไปยังกลุ่มนักเรียนในสังกัดอื่นๆ อีกด้วย
“กทม.เตรียมผลิตสื่อการเรียนการสอน ประเภทหนังสั้นทั้งหมด 15 เรื่อง ซึ่งจะสอนแทรกคุณธรรม 5 ประการ ได้แก่ ซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสาธารณะ เป็นธรรมทางสังคม กระทำอย่างรับผิดชอบ และ เป็นอยู่อย่างพอเพียง ขณะนี้ได้เริ่มหารือกับผู้กำกับบ้างแล้วตั้งเป้าจะเปิดตัวได้ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ และเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทิวบ์ แผ่นดีวีดี เคเบิลทีวี และอาจจะมีการฉายในโรงภาพยนตร์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ด้วย ขณะเดียวกัน จากนี้จะผลิตสื่อที่เป็นการ์ตูนด้วย ซึ่งล่าสุดร่างประกวดราคา (ทีโออาร์) เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมที่จะประกาศในเว็บไซต์เพื่อหาผู้รับจ้างเร็วๆ นี้ ซึ่งจะใช้งบประมาณราว 70 ล้านบาท” นางทยา กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม โครงการหลักสูตรโตไปไม่โกงนี้เป็นโครงการที่หวังผลในระยะยาว โดยจะมีการต่อยอดไปอีกหลายโครงการ เช่น โตไปไม่ก๊อบ เป็นต้น ทั้งนี้ ระยะยาว กทม.จะนำโครงการดังกล่าวออกนอกระบบของ กทม.ด้วย โดยอาจจะตั้งเป็นมูลนิธิให้ได้ทันก่อนหมดวาระของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.นี้
นางทยา กล่าวต่อว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนนั้น กทม.จะดูแลความปลอดภัย โดยสั่งการให้ตรวจกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) โรงเรียนไหนที่ยังไม่ได้ติดตั้งก็จะให้ติดตั้งให้แล้วเสร็จก่อนเปิดเรียน ตรวจระบบไฟฟ้าให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ตรวจท่าเรือทุกท่า ตรวจสัญญาณไฟจราจร และจะจัดเจ้าหน้าที่เทศกิจช่วยดูแลความปลอดภัยด้วย นอกจากนี้ กทม.จะมอบหมวกกันน็อกให้กับนักเรียนด้วย เบื้องต้นจำนวน 5,000 ใบก่อน และสำนักการจราจรและขนส่งจะเขียนโครงการจัดซื้อเพิ่มอีก 100,000 ใบ ส่วนโครงการเรียนฟรี 15 ปีนั้น กทม.จะยังดำเนินการต่อไป โดย กทม.จัดสรรงบประมาณรายจ่ายสำหรับนักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.ที่มีอยู่จำนวน 324,156 คน ซึ่งได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในอัตรา 60% และเป็นงบประมาณของ กทม.40% โดย กทม.จะเพิ่มรายการค่าใช้จ่ายที่อยู่นอกเหนือจากที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน ได้แก่ ชุดลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ชุดนอน ชุดพละ รวมถึงค่าจ้างครูต่างประเทศ ค่าประกันอุบัติเหตุ ค่าเครื่องหมายวิชาพิเศษลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และค่าวัสดุอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับเด็กอนุบาล เฉลี่ยคนละประมาณ 1,400 บาท รวมถึง กทม.จะเพิ่มค่าอาหารกลางวันจากเดิมคนละ 15 บาท เป็นคนละ 20 บาท
นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า จากที่ กทม.ได้ดำเนินโครงการหลักสูตรโตไปไม่โกง ร่วมกับศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ เพื่อสร้างค่านิยม และปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องให้แก่เยาวชนในการร่วมกันต่อต้านการคอร์รัปชัน ซึ่งได้เปิดการเรียนการสอนในโรงเรียนสังกัด กทม.ระดับอนุบาล-ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้ว โดยจากการประเมินของนิด้า พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยเด็กเริ่มมีทัศนคติที่ดีขึ้น ทั้งนี้ เตรียมขยายการสอนหลักสูตรดังกล่าวในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งได้มีการอมรมครูไปเมื่อเร็วๆ นี้ และมีการเตรียมแบบเรียน เนื้อหาการเรียนการสอน และคาดว่า จะขยายไปถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รวมถึงพร้อมที่จะขยายไปยังกลุ่มนักเรียนในสังกัดอื่นๆ อีกด้วย
“กทม.เตรียมผลิตสื่อการเรียนการสอน ประเภทหนังสั้นทั้งหมด 15 เรื่อง ซึ่งจะสอนแทรกคุณธรรม 5 ประการ ได้แก่ ซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสาธารณะ เป็นธรรมทางสังคม กระทำอย่างรับผิดชอบ และ เป็นอยู่อย่างพอเพียง ขณะนี้ได้เริ่มหารือกับผู้กำกับบ้างแล้วตั้งเป้าจะเปิดตัวได้ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ และเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทิวบ์ แผ่นดีวีดี เคเบิลทีวี และอาจจะมีการฉายในโรงภาพยนตร์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ด้วย ขณะเดียวกัน จากนี้จะผลิตสื่อที่เป็นการ์ตูนด้วย ซึ่งล่าสุดร่างประกวดราคา (ทีโออาร์) เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมที่จะประกาศในเว็บไซต์เพื่อหาผู้รับจ้างเร็วๆ นี้ ซึ่งจะใช้งบประมาณราว 70 ล้านบาท” นางทยา กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม โครงการหลักสูตรโตไปไม่โกงนี้เป็นโครงการที่หวังผลในระยะยาว โดยจะมีการต่อยอดไปอีกหลายโครงการ เช่น โตไปไม่ก๊อบ เป็นต้น ทั้งนี้ ระยะยาว กทม.จะนำโครงการดังกล่าวออกนอกระบบของ กทม.ด้วย โดยอาจจะตั้งเป็นมูลนิธิให้ได้ทันก่อนหมดวาระของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.นี้
นางทยา กล่าวต่อว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนนั้น กทม.จะดูแลความปลอดภัย โดยสั่งการให้ตรวจกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) โรงเรียนไหนที่ยังไม่ได้ติดตั้งก็จะให้ติดตั้งให้แล้วเสร็จก่อนเปิดเรียน ตรวจระบบไฟฟ้าให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ตรวจท่าเรือทุกท่า ตรวจสัญญาณไฟจราจร และจะจัดเจ้าหน้าที่เทศกิจช่วยดูแลความปลอดภัยด้วย นอกจากนี้ กทม.จะมอบหมวกกันน็อกให้กับนักเรียนด้วย เบื้องต้นจำนวน 5,000 ใบก่อน และสำนักการจราจรและขนส่งจะเขียนโครงการจัดซื้อเพิ่มอีก 100,000 ใบ ส่วนโครงการเรียนฟรี 15 ปีนั้น กทม.จะยังดำเนินการต่อไป โดย กทม.จัดสรรงบประมาณรายจ่ายสำหรับนักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.ที่มีอยู่จำนวน 324,156 คน ซึ่งได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในอัตรา 60% และเป็นงบประมาณของ กทม.40% โดย กทม.จะเพิ่มรายการค่าใช้จ่ายที่อยู่นอกเหนือจากที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุน ได้แก่ ชุดลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ชุดนอน ชุดพละ รวมถึงค่าจ้างครูต่างประเทศ ค่าประกันอุบัติเหตุ ค่าเครื่องหมายวิชาพิเศษลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และค่าวัสดุอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับเด็กอนุบาล เฉลี่ยคนละประมาณ 1,400 บาท รวมถึง กทม.จะเพิ่มค่าอาหารกลางวันจากเดิมคนละ 15 บาท เป็นคนละ 20 บาท