"สุขุมพันธุ์” ถก “ฮุน เซน” เสนอจัดประชุมผู้นำเมืองหลวง 10 ชาติอาเซียน ก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ด้านนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รับไปพิจารณา พร้อมรำลึกถึงความหลังเมื่อ 23 ปีก่อน เตรียมสานต่อความร่วมมือด้านการจราจร สิ่งแวดล้อม ที่พักอาศัย ยาเสพติด และนำบทเรียนน้ำท่วมหนัก กทม.สอนกรุงพนมเปญ ส่วนข้อพิพาทไทย-กัมพูชา สมเด็จฮุน เซน ระบุต้องหาวิธีแก้ปัญหา และอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ยันไม่มีนอกรอบ “วีระ-ราตรี” เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แถมเป็นแค่ท้องถิ่นคงทำอะไรไม่ได้ ขณะที่สถานทูตไทย ส่งเจ้าหน้าที่ไปดูแลทุกสัปดาห์
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการเข้าเยี่ยมคารวะนาย เคพ ชุค เต๊ะมา ผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงพนมเปญอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 8-10 พฤษภาคม 2555 ว่า การมาพบกันครั้งนี้เป็นการหารือเรื่องการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 เมือง เนื่องจากก่อนหน้านี้ในปี 2551 ที่เคยมีการยกร่างเพื่อเตรียมลงนามความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่มีเหตุขลุกขลักของทั้ง 2 ฝ่าย จึงต้องยกเลิกไปก่อน จนกระทั่งในปัจจุบันซึ่งถือว่าสถานการณ์ค่อนข้าวดีแล้ว จึงมีการนำเรื่องดังกล่าวมาดำเนินการใหมอีกครั้ง คาดว่าน่าจะสามารถลงนามได้ในครั้งต่อไปที่ตัวแทนกรุงพนมเปญจะกลับไปเยี่ยมเยียนเราที่กรุงเทพฯ ทั้งนี้ได้มีการหารือ เรื่องการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านขนส่งมวลชน และด้านที่อยู่อาศัย ซึ่ง กรุงพนมเปญจะมีการนำแบบอย่างของกรุงเทพฯมาปรับใช้ในการพัฒนาเมืองต่อไป
จากนั้นม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ .และคณะได้เข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา โดยเปิดเผยภายหลังการเข้าเยี่ยมคารวะ ว่า บรรยากาศการเข้าพบเป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง ซึ่งใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการระลึกถึงความหลัง เนื่องจากตนเองและสมเด็จฮุน เซน ได้รู้จักกันมาเป็นเวลา 23 ปีแล้ว โดย สมเด็จฮุน เซน ท่านกล่าวว่าตนเองก็เปรียบเสมือนเพื่อนของท่าน เพราะตนเองเป็นผู้ที่พาสมเด็จฮุน เซน ไปพบกับพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ.2532 ซึ่งการพบปะกันครั้งนั้น ถือเป็นประวัติศาสตร์ เนื่องจากกัมพูชาอยู่ระหว่างช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการที่นำสันติภาพเข้าสู่กัมพูชา เพราะในช่วง 10 ปีก่อนหน้านั้น กัมพูชาเป็นประเทศที่ตกอยู่ในภาวะสงคราม
“ท่านเป็นคนไม่ลืมคน จำคนได้ดีมาก ท่านพูดเสมอว่า ผมเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนของท่าน เพราะว่าเป็นคนที่พาไปพบกับพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2532 ซึ่งการพบกันครั้งนั้นประวัติศาสตร์ คงจารึกว่า เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการที่จะนำสันติภาพเข้ามาสู่กัมพูชา ซึ่งในช่วงเวลา 10 ปีก่อนหน้านั้น กัมพูชาได้ตกอยู่ในสภาวะสงคราม โดยสมเด็จฮุน เซน ท่านก็ไม่ลืม จำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง รำลึกความหลังเป็นระยะเวลานานพอสมควร ซึ่งท่านก็ดีใจที่ผู้ว่าฯ กทม.และผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ ได้พบกันซึ่งท่านก็มีดำริที่จะให้มีข้อตกลงทำความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งท่านได้บอกกับผู้ว่าฯกรุงพนมเปญ หากมีอะไรก็ให้ดำเนินการได้เลย เพราะหากทั้ง 2 เมืองหลวงร่วมมือกันได้ก็จะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย”
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเองในการเข้าเยี่ยมคารวะตนเองได้เสนอให้จัดการประชุมผู้นำเมืองหลวงในภูมิอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ โดยให้ผู้นำเมืองอาเซียนทั้งหมดมาพบปะหารือ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งจะทำให้การเป็นประชาคมอาเซียนสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดย สมเด็จฮุน เซน ได้เห็นชอบและรับไปพิจารณา และอาจจะมีการจัดประชุมผู้นำเมืองหลวงที่กัมพูชาอาศัยช่วงที่กัมพูชาเป็นประธานอาเซียนระหว่าง 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งตนเองเชื่อว่า จะเป็นก้าวที่สำคัญอีกก้าวหนึ่งเพราะที่ผ่านมาเมืองหลวงในอาเซียนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ไม่เคยพบกันพร้อมหน้า ซึ่งถ้าหากสามารถทำได้ในบริบทที่เข้าไปเป็นประชาคมอาเซียนก็จะเป็นเรื่องที่น่าดีใจ ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ก็รับไปพิจารณาส่วนจะออกมาอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องที่กัมพูชาจะตัดสินใจ
ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวด้วยว่า ส่วนความร่วมมือหลักๆ ที่อยากจะทำร่วมกันนอกจากทางด้านของสิ่งแวดล้อม ด้านการจราจร และด้านที่พักอาศัย ที่ผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญได้เสนอนั้น สมเด็จฮุน เซน ยังได้กล่าวถึงปัญหาเรื่องยาเสพติดและเยาวชน รวมไปถึงเรื่องน้ำท่วม และมองว่าบทเรียนและประสบการณ์ที่ กทม.ผ่านเหตุการณ์อุทุกภัยมาจะเป็นประโยชน์ในการบริหารเมืองของกรุงพนมเปญ ซึ่งตรงจุดนี้กทม.ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้และบทเรียนต่างๆ
ส่วนกรณีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชานั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ได้มีการหารือกันเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ ก็มีความชัดเจนพอสมควร ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ได้กล่าวว่าอย่างไรเสียเป็นเพื่อนบ้านกันก็ต้องหาวิธีอยู่ด้วยกันอย่างสันติ หาวิธีแก้ปัญหา และวิธีอยู่ด้วยกันต่อไป บางครั้งชาวต่างชาติไม่เข้ากันตอนเช้าทะเลาะกัน ตอนบ่ายก็ดีกันแล้ว ดังนั้น เชื่อว่ากัมพูชามีเจตนาที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศดีขึ้นตามลำดับ
“เราเลือกมิตรประเทศได้แต่เราเลือกเพื่อนบ้านไม่ได้ เราหนีไม่พ้น จะย้ายประเทศหนีก็ไม่ได้”
ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า ได้มีการพูดคุยถึงประเด็นของ นายวีระ สมความคิด และ นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า เป็นการเยี่ยมคารวะดังนั้นไม่ควรจะหยิบยกในเรื่องที่จะทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้นมาพูดคุยซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การเดินทางมาครั้งนี้ หากแจ้งมาแล้วว่าจะมาหารือในเรื่องอะไรก็ควรจะทำเฉพาะเรื่องนั้นๆ จึงไม่ควรอ้างเรื่องคารวะแล้วหยิบยกเป็นโอกาสมาคุยเรื่องการเมือง ซึ่งไม่ใช่วาระและเรื่องของคุณวีระ และคุณราตรี ก็เป็นเรื่องการเมือง ตนเองเป็นเพียงท้องถิ่นคงไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างไรก็ตาม ท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ท่านสมปอง สงวนบรรพ์ ได้แจ้งว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่จากสถานทูตไทยไปเยี่ยมบุคคลทั้ง 2 ทุกวันศุกร์อยู่แล้ว
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับอาการป่วยล่าสุดของนายวีระ ไม่ได้มีอาการป่วยหนักตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นเพียงอาการปวดตามข้อและเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ส่วนนางราตรี สบายดี และการดูแลยายวีระก็มีญาติมาเยี่ยมทุกอาทิตย์มีการพาไปตรวจสุขภาพ ณ โรงพยาบาลนอกเรือนจำซึ่งถือว่าเป็นการให้ดูแลกรณีพิเศษ