เครือข่ายภาคประชาสังคม จี้รัฐทบทวนมาตรการบำบัดยาเสพติด ชี้นโยบายตั้งเป้าบำบัด 4 แสนคนภายในปี 55 แค่สร้างภาพไม่ได้มุ่งช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติดจริง วอนคำนึงถึง-คุณธรรม สุขภาพมาก่อน
นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวในการสัมมนาเพื่อการพัฒนาความร่วมมือการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด และการบำบัดผู้ติดยาเสพติด ทางเลือก สิทธิ หรือหน้าที่ ว่า จากความร่วมมือของสำนักงานประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN) ได้เคยมีความร่วมมือกันกับหลายหน่วยงานภาคสังคมของไทย เพื่อผลักดันนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลมาโดยตลอดภายใต้แนวความคิดที่ว่า ผู้ใช้ยาคือเหยื่อ ไม่ใช่อาชญากร ในฐานะเครือข่ายภาคประชาสังคม เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะล้มเลิกมายาคติที่ว่า ผู้ใช้ยาคือนักโทษ โดยอยากให้รัฐบาล เห็นความสำคัญของการดึงเหยื่อยาเสพติมาเข้าสู่ระบบบำบัดยาด้วยความสมัครใจไม่ใช่บังคับ โดยเฉพาะนโยบายของ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ตั้งเป้าว่าจะนำผู้เสพ ผู้ติดยาเข้าสู่ระบบบำบัดไม่น้อยกว่า 4 แสนคน ในปี 2555 รวมทั้งมีการวางกรอบว่า อาจจะใช้เวลาในการบำบัดยาแค่ 3 เดือนนั้น โดยส่วนตัวเห็นว่า เป็นการตั้งเป้าในลักษณะกดดันภาครัฐให้มีการทำหน้าที่เพื่อประกาศจุดเด่นเชิงนโยบายมากกว่าการมุ่งเป้าช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้มีการทบทวนและมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่เคยก้าวพลาดติดยาเสพติดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
"ตามนโยบายชองรัฐบาลเรื่อง ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน เอาชนะยาเสพติดนั้น ทางเครือข่าย เครือข่ายฯ มีข้อสังเกตและห่วงใยในกรณีการได้มาซึ่งผู้เสพสารเสพติด จำนวน 400,000 คน จะได้มาอย่างไรให้โปร่งใส คือ ไม่มีการบังคับยอมรับเพื่อเดินเข้าหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อที่จะได้รักษาและบำบัดยาฟรี และไม่ละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานต่อผู้ใช้สารเสพติดและครอบครัว นอกจากนี้ในการบำบัดยาของประเทศไทยในปัจจุบัน ยังถือว่าไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยเฉพาะการบำบัดรักษาในรูปแบบของค่ายต่างๆ เช่น ค่ายทหาร หรือ พื้นที่พิเศษ เช่น เรือนจำ นอกจากจะไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้แล้ว ยังส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตัวผู้เสพยา รวมถึงสร้างความยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นกับการแก้ไขปัญหาในอนาคต จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของเรื่องดังกล่าว ซึ่งเครือข่ายพร้อมจะร่วมมือกับ UN เพื่อผลักดันนโยบายการบำบัดยาอย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งสนับสนุนนโยบายการแจกเข็มสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ในผู้ที่ใช้สารเสพติด้วย" นายอภิวัฒน์ กล่าว
ด้านนายศักดิ์ดา เผือกชาย ประธานเครือข่ายผู้ใช้ยาเสพติดประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้สารเสพติดที่เป็นสมาชิกเครือข่ายประมาณ 1 หมื่นราย ซึ่งกว่า 40 % เคยคิดอยากเลิกใช้สารเสพติดแต่พอจะเดินเข้าพบเจ้าหน้าที่ตามศูนย์บำบัดกลับมีการเรียกเก็บเงินอยู่ที่อัตราละประมาณ 8,000 บาท ต่อราย ขณะที่บางคนได้รับข้อเสนอจากตำรวจว่า หากยอมให้จับเข้าเรือนจำก็จะไม่ต้องเสียเงินในการจ่ายค่าบำบัด รักษา ซึ่งเหตุดังกล่าว เป็นการบังคับและลิดรอนสิทธิอย่างมาก โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่สามารถแก้ปัญหายาเสพติดได้
นายศักดิ์ดา กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้สำหรับมาตรฐานการบริการที่รัฐระบุว่า จะใช้เวลาบำบัดนานราว 3 เดือนนั้น ตนคิดว่า ในผู้ใช้ยาบางราย เป็นการบังคับเลิกยาที่หักดิบและทรมานร่างกายเกินไป เพราะสารเสพติดแต่ละชนิดใช้เวลาในการรักษาและบำบัด หรือเลิกยาที่ต่างกัน บางชนิดเลิกได้ง่าย บางชนิดเลิกยาก จึงอยากให้รัฐมีการทบทวนนโยบายในการบริการด้านสุขภาพแก่เหยื่อสารเสพติดด้วยการปรับปรุงรายละเอียดการบำบัดรักษา ด้วยวิธีที่เหมาะสม และระบุชัดไปเลยว่า จะบริการบำบัดรักษา จนกว่าสุขภาพจะแข็งแรง
นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวในการสัมมนาเพื่อการพัฒนาความร่วมมือการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด และการบำบัดผู้ติดยาเสพติด ทางเลือก สิทธิ หรือหน้าที่ ว่า จากความร่วมมือของสำนักงานประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN) ได้เคยมีความร่วมมือกันกับหลายหน่วยงานภาคสังคมของไทย เพื่อผลักดันนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลมาโดยตลอดภายใต้แนวความคิดที่ว่า ผู้ใช้ยาคือเหยื่อ ไม่ใช่อาชญากร ในฐานะเครือข่ายภาคประชาสังคม เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะล้มเลิกมายาคติที่ว่า ผู้ใช้ยาคือนักโทษ โดยอยากให้รัฐบาล เห็นความสำคัญของการดึงเหยื่อยาเสพติมาเข้าสู่ระบบบำบัดยาด้วยความสมัครใจไม่ใช่บังคับ โดยเฉพาะนโยบายของ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ตั้งเป้าว่าจะนำผู้เสพ ผู้ติดยาเข้าสู่ระบบบำบัดไม่น้อยกว่า 4 แสนคน ในปี 2555 รวมทั้งมีการวางกรอบว่า อาจจะใช้เวลาในการบำบัดยาแค่ 3 เดือนนั้น โดยส่วนตัวเห็นว่า เป็นการตั้งเป้าในลักษณะกดดันภาครัฐให้มีการทำหน้าที่เพื่อประกาศจุดเด่นเชิงนโยบายมากกว่าการมุ่งเป้าช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้มีการทบทวนและมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่เคยก้าวพลาดติดยาเสพติดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
"ตามนโยบายชองรัฐบาลเรื่อง ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน เอาชนะยาเสพติดนั้น ทางเครือข่าย เครือข่ายฯ มีข้อสังเกตและห่วงใยในกรณีการได้มาซึ่งผู้เสพสารเสพติด จำนวน 400,000 คน จะได้มาอย่างไรให้โปร่งใส คือ ไม่มีการบังคับยอมรับเพื่อเดินเข้าหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อที่จะได้รักษาและบำบัดยาฟรี และไม่ละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานต่อผู้ใช้สารเสพติดและครอบครัว นอกจากนี้ในการบำบัดยาของประเทศไทยในปัจจุบัน ยังถือว่าไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยเฉพาะการบำบัดรักษาในรูปแบบของค่ายต่างๆ เช่น ค่ายทหาร หรือ พื้นที่พิเศษ เช่น เรือนจำ นอกจากจะไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้แล้ว ยังส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตัวผู้เสพยา รวมถึงสร้างความยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นกับการแก้ไขปัญหาในอนาคต จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของเรื่องดังกล่าว ซึ่งเครือข่ายพร้อมจะร่วมมือกับ UN เพื่อผลักดันนโยบายการบำบัดยาอย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งสนับสนุนนโยบายการแจกเข็มสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ในผู้ที่ใช้สารเสพติด้วย" นายอภิวัฒน์ กล่าว
ด้านนายศักดิ์ดา เผือกชาย ประธานเครือข่ายผู้ใช้ยาเสพติดประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้สารเสพติดที่เป็นสมาชิกเครือข่ายประมาณ 1 หมื่นราย ซึ่งกว่า 40 % เคยคิดอยากเลิกใช้สารเสพติดแต่พอจะเดินเข้าพบเจ้าหน้าที่ตามศูนย์บำบัดกลับมีการเรียกเก็บเงินอยู่ที่อัตราละประมาณ 8,000 บาท ต่อราย ขณะที่บางคนได้รับข้อเสนอจากตำรวจว่า หากยอมให้จับเข้าเรือนจำก็จะไม่ต้องเสียเงินในการจ่ายค่าบำบัด รักษา ซึ่งเหตุดังกล่าว เป็นการบังคับและลิดรอนสิทธิอย่างมาก โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่สามารถแก้ปัญหายาเสพติดได้
นายศักดิ์ดา กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้สำหรับมาตรฐานการบริการที่รัฐระบุว่า จะใช้เวลาบำบัดนานราว 3 เดือนนั้น ตนคิดว่า ในผู้ใช้ยาบางราย เป็นการบังคับเลิกยาที่หักดิบและทรมานร่างกายเกินไป เพราะสารเสพติดแต่ละชนิดใช้เวลาในการรักษาและบำบัด หรือเลิกยาที่ต่างกัน บางชนิดเลิกได้ง่าย บางชนิดเลิกยาก จึงอยากให้รัฐมีการทบทวนนโยบายในการบริการด้านสุขภาพแก่เหยื่อสารเสพติดด้วยการปรับปรุงรายละเอียดการบำบัดรักษา ด้วยวิธีที่เหมาะสม และระบุชัดไปเลยว่า จะบริการบำบัดรักษา จนกว่าสุขภาพจะแข็งแรง