อย.ชี้ ข้อมูลดีเอสไอนำเข้าซูโดฯจากเกาหลี อย.เป็นผู้ให้ข้อมูลตั้งแต่ปี 53 ย้ำ อยู่ระหว่างตรวจสอบประเทศอื่นเพิ่ม พร้อมประสาน INCB กำชับกลุ่มที่จะส่งเข้าไทยระมัดระวังเป็นพิเศษ
จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับองค์การอาหารและยาเกาหลี ระบุว่า มีบริษัทไทยต้องการยาหวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนจากเกาหลี และยังพบข้อมูล การนำเข้ามายังไทยแล้ว 9 ครั้ง แต่มีการสำแดงรายการไม่ตรงตามความจริงนั้นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย) กล่าวว่า ข้อมูลที่ส่งให้ทางดีเอสไอ เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงปี 2553 โดยจากการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง อย.กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตรวจสอบพบยาซูโดอีเฟดรีนสูตรผสม 48 ล้านเม็ด เป็นภายในประเทศ 8 ล้านเม็ด ที่เหลือลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ โดยพบว่า กว่า 30 ล้านเม็ดมาจากเกาหลี อย.จึงได้ประสานไปยังองค์การอาหารและยาเกาหลีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นไปตามข้อมูลที่ดีเอสไอเคยให้ข่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่า หลังจากตรวจสอบก็ได้มีการประสานห้ามบริษัทจากเกาหลีส่งมายังบริษัทในไทย เนื่องจากพบว่า บริษัทที่แจ้งขอนำเข้าก็ไม่ได้รับใบอนุญาตจาก อย.ในการนำยาเข้ามายังไทย รวมทั้งตัวยาก็ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เกี่ยวกับเรื่องนี้มีการทำหนังสือแจ้งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหมดแล้วตั้งแต่ปี 2553
“ล่าสุด ยังให้ข้อมูลจากดีเอสไอเช่นกัน ซึ่งจากนี้ไปในส่วนของการปราบปรามนั้นจะเป็นหน้าที่ของหน่วยปรามปรามติดตาม ส่วน อย.ไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงเฝ้าระวังติดตามต่อไป พร้อมทั้งยังได้ประสานไปยังสถานทูตเกาหลีเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษแล้ว รวมถึงยังประสานกับคณะกรรมการควบคุมสารเสพติดนานาชาติ หรือ INCB (The International Narcotics Control Board ) ในการเพิ่มความระมัดระวังหากประเทศใดจะสั่งซื้อ หรือส่งยาที่มีสารตั้งต้นดังกล่าว หากจะมีการส่งมายังประเทศไทยขอให้ประเทศนั้นๆ แจ้งมายังไทยด้วย ทั้งนี้ยังคงยืนยันว่า อย.ได้ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเต็มที่มาโดยตลอด เห็นได้ชัดตั้งแต่กรณีการควบคุมจากต่างประเทศ และล่าสุด มีการเข้มงวดภายในประเทศมากขึ้น ตั้งแต่การควบคุมในคลินิก ร้านขายยา ไม่อนุญาตให้จำหน่าย และกระทั่งยกระดับเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 เพราะทั้งหมด อย.เห็นความสำคัญ ซึ่งหากไม่ควบคุมจะเป็นอย่างไร แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่า อย.ทำงานเพียงฝ่ายเดียว แต่รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ด้วย เพราะเรื่องนี้ต้องทำงานร่วมกัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้” นพ.พิพัฒน์ กล่าว
จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับองค์การอาหารและยาเกาหลี ระบุว่า มีบริษัทไทยต้องการยาหวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนจากเกาหลี และยังพบข้อมูล การนำเข้ามายังไทยแล้ว 9 ครั้ง แต่มีการสำแดงรายการไม่ตรงตามความจริงนั้นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย) กล่าวว่า ข้อมูลที่ส่งให้ทางดีเอสไอ เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงปี 2553 โดยจากการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง อย.กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตรวจสอบพบยาซูโดอีเฟดรีนสูตรผสม 48 ล้านเม็ด เป็นภายในประเทศ 8 ล้านเม็ด ที่เหลือลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ โดยพบว่า กว่า 30 ล้านเม็ดมาจากเกาหลี อย.จึงได้ประสานไปยังองค์การอาหารและยาเกาหลีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นไปตามข้อมูลที่ดีเอสไอเคยให้ข่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่า หลังจากตรวจสอบก็ได้มีการประสานห้ามบริษัทจากเกาหลีส่งมายังบริษัทในไทย เนื่องจากพบว่า บริษัทที่แจ้งขอนำเข้าก็ไม่ได้รับใบอนุญาตจาก อย.ในการนำยาเข้ามายังไทย รวมทั้งตัวยาก็ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เกี่ยวกับเรื่องนี้มีการทำหนังสือแจ้งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหมดแล้วตั้งแต่ปี 2553
“ล่าสุด ยังให้ข้อมูลจากดีเอสไอเช่นกัน ซึ่งจากนี้ไปในส่วนของการปราบปรามนั้นจะเป็นหน้าที่ของหน่วยปรามปรามติดตาม ส่วน อย.ไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงเฝ้าระวังติดตามต่อไป พร้อมทั้งยังได้ประสานไปยังสถานทูตเกาหลีเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษแล้ว รวมถึงยังประสานกับคณะกรรมการควบคุมสารเสพติดนานาชาติ หรือ INCB (The International Narcotics Control Board ) ในการเพิ่มความระมัดระวังหากประเทศใดจะสั่งซื้อ หรือส่งยาที่มีสารตั้งต้นดังกล่าว หากจะมีการส่งมายังประเทศไทยขอให้ประเทศนั้นๆ แจ้งมายังไทยด้วย ทั้งนี้ยังคงยืนยันว่า อย.ได้ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเต็มที่มาโดยตลอด เห็นได้ชัดตั้งแต่กรณีการควบคุมจากต่างประเทศ และล่าสุด มีการเข้มงวดภายในประเทศมากขึ้น ตั้งแต่การควบคุมในคลินิก ร้านขายยา ไม่อนุญาตให้จำหน่าย และกระทั่งยกระดับเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 เพราะทั้งหมด อย.เห็นความสำคัญ ซึ่งหากไม่ควบคุมจะเป็นอย่างไร แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่า อย.ทำงานเพียงฝ่ายเดียว แต่รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ด้วย เพราะเรื่องนี้ต้องทำงานร่วมกัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้” นพ.พิพัฒน์ กล่าว