“พนิตา” แถลงชี้แจง ถูกรังแก เป็นการสั่งย้ายสายฟ้าแลบ วิ่งยื่นอุทธรณ์ถึง “ยิ่งลักษณ์” วันนี้ ให้ถอนมติ ครม.พร้อมฟ้อง “สันติ” ฐานหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสีย เผยไม่คิดแค้นใคร โทษกุนซือ รมต.เป็นไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง หวังผลประโยชน์
วันนี้ (15 มี.ค.) เวลา 13.00 น.ที่บ้านราชวิถี นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แถลงข่าวภายหลังมีมติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 13 มี.ค.55 เห็นชอบให้ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ย้ายไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมกับแต่งตั้ง นายวิเชียร ชวลิต ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ให้ดำรงตำแหน่งปลัด พม.ว่า ในวันนี้ เวลา 15.00 น.ตนจะยื่นหนังสืออุทธรณ์ถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่รัฐสภา ให้เพิกถอนมติ ครม.วันที่ 13 มี.ค.55 และขอให้ยกเลิกคำสั่งสอบสวนทางวินัยกับตน เพราะเป็นการสอบวินัยผิดคน ทั้งนี้ หากในวันอังคารหน้า ที่มีการประชุม ครม.ยังไม่มีการเพิกถอนมติ ตนจะยืนหนังสือต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) อีกทั้งจะมีการฟ้องหมิ่นประมาทกับทาง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม.อีกด้วย
นางพนิตา กล่าวว่า ในสมัย นายอิสสระ สมชัย เป็น รมว.พม.ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้แจ้งผลการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของกรมประชาสงเคราะห์ (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการในปัจจุบัน) ประเภทเงินนอกงบประมาณ เรื่องระเบียบการจ่าย การเก็บ และการรักษาเงินบางประเภท ที่กรมประชาสงเคราะห์ได้รับ โดยทาง สตง.ได้แจ้งให้ นายอิสสระ รมว.พม.ขณะนั้น ให้ดำเนินการทางวินัยกับปลัด พม.ขณะนั้น (นายวัลลภ พลอยทับทิม) อธิบดี (นางพนิตา ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น) และผู้ที่เกี่ยวข้องในการเบิกจ่าย รวมทั้งเรียกเงินคืนจำนวนประมาณ 32 ล้านบาท ซึ่งทางนายอิสสระ ได้มีหนังสือตอบตามข้อสังเกตของ พม.แล้ว โดยเห็นว่ากรณีตามข้อสังเกตของสตง.ทางกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้พิจารณากลั่นกรองเป็นอย่างดีแล้ว ในการเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่
นางพนิตา กล่าวอีกว่า ต่อมา สตง.ได้มีหนังสือลับ ลงวันที่ 25 ส.ค.54 ถึง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พม.โดยได้อ้างถึงเรื่องเดิมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศึกษาดูงาน ตามที่นายอิสสระ สมชัย ได้ดำเนินงานตามข้อสังเกตไปแล้ว โดยทาง สตง.ได้ยืนยันข้อทักท้วงในการเรียกเก็บเงินคืนคลัง และลงโทษทางวินัย ตนจึงได้มอบหนังสือชี้แจ้งกลับไป ซึ่งต้องไม่เกิน 60 วัน ให้กับ นายสันติ แต่ นายสันติ ก็ไม่ได้ลงนาม อีกทั้งตนยังได้ทราบเป็นการภายในว่า นายสันติ ได้ขยายเวลาในการขอชี้แจงเรื่องดังกล่าวออกไปอีก 60 วัน โดยไม่ได้มีการแจ้งเรื่องมาทางตนเลย
“ดิฉันก็ได้ทำหนังสือชี้แจ้งกลับไปอีกครั้ง พร้อมข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้ นายสันติ ลงนามก่อนส่งให้ สตง.แต่จนถึงขณะนี้หนังสือดังกล่าวก็ยังไม่ได้ส่งหนังสือไปถึง สตง.ซึ่งตนก็กลัวจะเสียสิทธิ จึงได้ทำหนังสือส่งไปทาง สตง.โดยตรงในวันที่ 31 ม.ค.55 ซึ่งตนก็เข้าใจว่า ตามธรรมเนียมของ สตง.หากไม่มีมูล หรือไม่มีปัญหาอะไรเรื่องก็จะเงียบหายไปเอง ตนจึงสบายใจและไม่ได้ติดตามต่อ” นางพนิตา กล่าว
นางพนิตา กล่าวต่ออีกว่า ไม่เข้าใจว่า ทำไม นายสันติ ไม่ยอมเซ็นลงนามทั้ง 2 ครั้ง และยังตั้งกรรมการสอบสอนตน พร้อมทั้งให้ข่าวเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งทำให้ดิฉันเสื่อมเสีย จึงต้องดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาท แต่พอเมื่อวันที่ 9 มี.ค.55 นายสันติ ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัย แล้วได้นำเรื่องนี้มาย้ายตนในวันที่ 13 มี.ค.ซึ่งรวดเร็วมาก สมกับที่รัฐบาลจะสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง โดยตนคิดว่าเป็นการถูกรังแก ด้วยการสั่งย้ายแบบสายฟ้าแลบ อีกทั้งเรื่องการสอบวินัยดังกล่าว ตนได้ติดต่อไปที่ สตง.ในวันที่ 13 มี.ค.55 ในเรื่องการสอบวินัยดังกล่าว โดยมีหนังสือลับด่วน ลงวันที่ 14 มี.ค.55 ว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ขอเรียนว่า เรื่องการใช้จ่ายเงินกรณีปัญหาดังกล่าว เป็นข้อโต้แย้งทางกฎหมายในเรื่องการใช้ดุลพินิจของอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ (นางพนิตา ดำรงตำแหน่งขณะนั้น) ส่วนกรณีแจ้งให้ดำเนินการทางวินัยกับปลัด พม.เนื่องจากได้ร่วมเดินทางไปด้วย เป็นการให้ดำเนินการกับปลัด พม.ขณะนั้น สำหรับผลการพิจารณาเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบโดยเร็ว
“หากย้อนไปในขณะนั้น ตนไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวง แต่อยู่ในตำแหน่งอธิบดี ซึ่งเป็นการดำเนินการสอบสวนทางวินัยผิดคน ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะว่ายังไงเหมือนกัน แต่ส่วนตัวไม่ได้มีความแค้นกับฝ่ายใด แต่ดิฉันโทษทีมกุนซือของ รมต.ที่ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวกับ รมต.เป็นไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง เพื่อหวังผลประโยชน์” นางพนิตา กล่าว