xs
xsm
sm
md
lg

“เจนนี่ เรสเตอรอง” by สวิล ลำดวน กินข้าวที่นี่ อิ่มไมตรี อิ่มน้ำใจ/ส่องฅนคุณภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สวิล ลำดวน หรือ พี่เจนนี่
โดย..จารยา บุญมาก

หลายครั้งที่ผู้คนผ่านไป-มาช่วงบ่ายแก่ๆ แดดร้อนจัด แล้วมองเข้าไปในร้าน เจนนี่ เรสเตอรอง (Jenny Restaurant) ในถนนสามเสนซอย 4 แขวงพระนคร ยังมีลูกค้านั่งกินกันแน่นขนัด ทั้งๆ ที่เป็นแค่ร้านอาหารเล็กๆ เท่านั้น

แต่แรงดึงดูดใดที่ทำให้ลูกค้าเลือกเข้ามาในร้านอย่างไม่เคยขาดสายแม้จะเริ่มเปิดได้แค่ 1 ปี สวิล ลำดวน หรือ พี่เจนนี่ เจ้าของร้านวัย 42 ปี ตอบแบบขำๆ ว่า คงต้องไปถามลูกค้า เพราะแม่ค้าคงจะทำหน้าที่โม้เรื่องฝีมือไม่ได้

เจนนี่ เป็นชื่อที่ลูกค้าเรียกกันจนติดปากตั้งแต่สมัยเป็นบริกรและพนักงานต้อนรับในโรงแรม อาจเป็นเพราะทุกคนทราบดีว่าเจนนี่เป็นสาวประเภทสอง แต่ก็มีหลายคนเรียกว่า ฮันนี่เช่นกัน ร้านอาหารเล็กๆ นี้เป็นร้านที่เจนนี่ ใช้เงินเก็บจากการเป็นลูกจ้างนานถึง 16 ปี แล้วเซ้งต่อทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น เพื่อเปิดเป็นห้องเช่า 6 ห้องให้นักท่องเที่ยวแบบแบกแพคเกอร์ได้เช่า ส่วนด้านล่างก็เปิดเป็นร้านอาหารเน้นที่การขายอาหารมังสวิรัติ และอาหารเจ แต่มีอาหารทั่วไปประมาณ 2-3 อย่าง แต่รวมรายได้แล้วก็เป็นแสนต่อเดือน โดยอาหารที่มียอดสั่งมากที่สุดชื่อสำหรับลูกค้า คือ ต้มยำ แกงมัสมั่น ผัดไทย ต้มข่าไก่ ต้มข่าเจ ส้มตำ ข้าวผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
เจนนี่ลบภาพของสาวประเภทสองที่แรง และจัดจ้านออกไป พร้อมทั้งลบคราบคนอีสาน ที่มาทำงานย่านท่องเที่ยว อาทิ ถนนสีลม ข้าวสาร ที่ถูกมองว่าทำอาชีพไม่สุจริต และเป็นอาชีพต่ำต้อย ด้วยบุคลิกที่สุภาพ อ่อนหวานและพูดจาไพเราะ และมีน้ำใจทำให้ลุกค้าเลือกที่จะบอกกันปากต่อปากเพื่อแนะนำร้านอาหารของเธอ โดยส่วนมากก็จะมีแต่ขาประจำ ซึ่งทุกครั้งที่ลูกค้าเจ้าประจำมาจะต้องมีโปรโมชั่นส่วนลดเสมอ

“เมื่อเรามีลูกค้าประจำมา ในฐานะเป็นคนบริการ เราต้องแสดงออกถึงความจริงใจ เรื่องรสชาติอาหารพี่ไม่รู้จริงๆ ว่าอร่อยหรือเปล่า แต่ต้องเน้นสะอาด เป็นครัวแบบเปิด ให้ลูกค้าเข้าดูได้ในบางครั้ง อาหารสดใหม่ ไม่มีการทำค้างแล้วเก็บมาอุ่น ซึ่งแบบนั้นหมายถึงการเอาเปรียบทางธุรกิจ ไม่ใช่หัวใจหลักของอาชีพบริการ” เจนนี่ อธิบายเสริม
บรรยากาศของร้าน
และด้วยใจรักในงานที่ทำอย่างไม่คิดจะหยุด เว้นแต่ว่าหมดแรงจริงก็หยุดพักแค่ 2 วัน ต่อเดือนเท่านั้น และเพราะว่า เจ้าของทำงานไม่เคยหยุด ลูกค้าจึงหลั่งเข้ามาแบบไม่มีหยุดเช่นกัน ไม่แปลกที่ลูกค้าจะอารมณ์เสียบ้างเพราะรออาหารช้า ก็มีโมโหหิวเป็นบางราย

“90% ลูกค้าชาวต่างชาติจะมาทานในมื้อค่ำ และช่วงเช้ากับเที่ยงก็เป็นคนไทย เพราะร้านเปิดทุกมื้ออาจเป็นเพราะโลภอยากได้เงิน ก็ต้องเปิดร้านทุกเวลา โดยส่วนตัวอยากขยายร้านให้ใหญ่กว่าเดิมแต่ ทำยังไม่ได้เพราะหาทำเลที่ดีๆ ไม่ได้และยังไม่ใครคอยช่วยดูแล เนื่องจากครอบครัวและญาติก็อาศัยอยู่ที่ศรีสะเกษกันหมด บางครั้งเหงาๆ ก็มีลูกค้า 9-10 คนมาอ้อนให้สอนทำอาหาร และเครื่องดื่มยอดนิยมของคนไทย หลังๆ เลยเริ่มเป็นบริการเสริมสอนฟรีแก่ลูกค้าที่มาเช่าห้องพัก แต่อีกไม่นานจะเปิดสอนหลักสูตรทำอาหารไทย แก่ผู้ที่สนใจเช่นกัน เพราะอย่างน้อยก็ได้ทบทวนมือทำอาหารของตนเอง และแบ่งปันความรู้แก่คนอื่นด้วย แต่ใจจริงก็อยากสอนเฉพาะอาหารอีสาน ติดตรงที่เครื่องปรุงเยอะและรสจัด คิดว่า คงไม่มีใครมาเรียนแน่ๆ ก็เลยต้องปูทางเดินอาชีพใหม่เริ่มที่ทำอาหารภาคกลางเสียก่อน” เจนนี่ เล่าอย่างอารมณ์ดี

แม้จะเป็นเพียงอาชีพธรรมดา ที่ใครก็ทำได้แค่มีเงินแต่ถ้าถามว่าทำไมเจนนี่ต้องตรากตรำ ทำงานแบบไม่หยุด ไม่หย่อน ในเมื่อไม่มีครอบครัว

เหตุผลที่ชัดเจน คือ หลายคนก็สงสัยว่าทำเพื่อแฟนหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเพื่อนสนิทรู้ดีว่า ไม่มีแฟนแน่นอน อายุป่านนี้แล้วยอมรับว่า เรื่องมีแฟนไม่ได้ไปคิดมากมายเพราะรู้ดีว่า ตนเองเป็นอะไรหากจะหารักไปก็แค่ฝันเฟื่องแล้วละ แต่รักที่ยิ่งใหญ่และรักดั่งดวงใจที่ยอมทำงานมากมายขนาดนี้ ก็คือ รักจากแม่ จากพี่สาว เพราะเงินที่หามาได้ทั้งหมดไม่ได้เก็บไว้เองเลย ส่งให้ทางบ้านทำนา และส่งค่ารักษาพี่สาวซึ่งเป็นมะเร็งปากมดลูกนานกว่า 3 เดือน แต่โชคดีที่ตรวจเจอไว จึงนำมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ จนปัจจุบันอาการดีขึ้นแล้ว แต่ภาระหลักก็ยังต้องอยู่กับตน เนื่องจากฝากแม่ให้พี่สาวดูแล รายได้ก็ต้องส่งกลับไปเพื่อเลี้ยงหลานๆ และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นในรอบครัว

“ช่วงแรกๆ ก็คุยกันว่า จะต่างคนต่างทำงาน แต่แม่ก็แก่มากแล้วจะปล่อยไว้ก็ดูไม่ดี จึงตัดสินใจทำงานคนเดียว พอพี่สาวแต่งงานมีลูก ตนก็ช่วยหางานให้พี่เขยทำแถวบ้านตอนนี้ก็ทำงานประจำอยู่ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลที่ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งขณะนี้ทั้งครอบครัวก็มีคนหาเงินอยู่สองคน เพื่อนำรายได้ไปจ้างคนให้ทำนาให้ อย่างน้อยก็เป็นทรัพย์สินของเราที่มีอยู่ก็ต้องรักษาไว้” เจนนี่เล่า

ในตอนท้ายในฐานะผู้ประกอบการร้านอาหารเล็กๆ ฝากไว้ว่า เมื่อไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว และคนไทยขึ้นชื่อว่าใจดีซึ่งผู้ให้บริการทุกแบบทั้งร้านอาหาร โรงแรม ภัตตาคาร ล้วนเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวดังนั้นจะต้องรักษาภาพลักษณ์การบริการที่ดีไว้ จึงจะได้ชื่อว่า เมืองแห่งรอยยิ้ม ที่ใครๆ ขนานนาม
กำลังโหลดความคิดเห็น