รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเดินเครื่องทำงานให้ได้น้ำได้เนื้อเสียที หลังปัญหาน้ำท่วมเริ่มคลี่คลายในยามนี้!!
อาจจะโทษว่า เข้ามาเพิ่งตั้งไข่ไม่ทันไรก็ต้องเจอสถานการณ์อุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ จนตั้งรับไม่ถูก สำลักน้ำคะแนนนิยมหดหายไปบานตะไท
แต่ด้วยความอ่อนด้อยประสบการณ์ อ่อนเชิงทางการบริหารของตนเอง โทษใครไม่ได้ รัฐบาลก็ต้องรับเสียงก่นด่าสาปแช่งไปอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ดี เรื่องฟื้นฟูเยียวยานั้นรัฐบาลจำเป็นต้องทำ แต่เรื่องที่เกี่ยวกับปากท้อง เรื่องที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่หาเสียงไว้ก็จำเป็นต้องใส่เกียร์เดินหน้าอีกครั้ง นโยบายประชานิยม นโยบายจำนำราคาข้าว ค่าแรง 300 บาท รายได้ผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาท เหล่านี้ต้องทำต่อ
ไม่งั้นมีหวังโดนด่าเปิดเปิงทั้งขึ้นทั้งล่อง
แต่นโยบายบางอย่างก็ถูกคิดค้น ทำขึ้นมาระหว่างทางโดยรัฐมนตรีบางกระทรวง เข้าท่าบ้าง ไม่เข้าท่าบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเลอะเทอะเสียมากกว่า
อย่างนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการผุดไอเดียออกมาให้เด็กไทยพูดภาษาอังกฤษ บรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน เป็นต้น
นโยบายที่คิดจะทำนี้โดยหลักการดูดี มุ่งหวังทำให้เด็กไทยมีพื้นฐานภาษาอังกฤษ อ่านออก เขียนได้ พูดฟังเข้าใจ ถึงขั้นสปีกอิงลิชกับฝรั่งได้ แต่ในเชิงปฏิบัตินั้นยาก..
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาระบบการเรียนการสอนของเราก็มีอยู่เพียงผิวเผิน เขียน อ่าน พอทำเนา พอเรียนไปๆ สักพักก็ลืม วิชาภาษาอังกฤษที่เรียนมาก็แค่ท่องตำราของให้สอบผ่าน จะมีกี่คนที่นึกย้อนจำความสิ่งที่เรียน สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เรียนรู้ได้แล้วก็หายไปหมดทั้งนั้น
ภาษาทางการบ้านเราก็คือภาษาไทย ลำพังแค่นี้บางคนภาษาไทยยังไม่แข็งแรงเลย นับประสาอะไรกับภาษาต่างประเทศ สยามประเทศเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้น เหมือนเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงที่ซึมซับอารยธรรม ภาษาอังกฤษ จนเป็นเสมือนหนึ่งภาษาหลักที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เราไม่ใช่ แต่มันก็เป็นความภาคภูมิใจในเอกราชของเรา
ทุกวันนี้มีหรือที่คนไทยจะพูดอังกฤษใส่กัน เหมือนบางประเทศ ถ้าชีวิตประจำวันต้องใช้ภาษาอังกฤษก็ว่าไปอย่าง ดังนั้นนโยบายที่กระทรวงศึกษาธิการคิดค้นออกมาคงเกิดผลในเชิงปฏิบัติได้ยาก จนดูเหมือนว่าเป็นเรื่องฝันเฟื่องเกินไป
คิดจะทำแล้วหลักสูตรการเรียนการสอนมีหรือยัง หลักสูตรการสอบมีหรือไม่ มันก็แค่นโยบายของนักการเมืองที่ทำเอาหน้า เอาคะแนนแบบขอไปที ไม่มีการลงลึกวากรากฐานอย่างจริงจังและจริงใจ
เชื่อเหลือเกินว่า มันคงเป็นแค่นโยบายไฟไหม้ฟาง เหมือนไม้ขีดไฟที่จุดติดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อมองไปยังรากฐาน มองไปที่โครงสร้างแล้ว ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวได้เลย
ครูบาอาจารย์ที่จะต้องเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาตามแนวนโยบายใหม่นี้ มีไม่กี่คนหรอกที่เป็นเจ้าของภาษาตัวจริง เป็นชาวต่างชาติที่จะมาสอนแบบจริงจัง แล้วถ้าลงมือสอนจริงๆ คงใช้เวลานานโขกว่าจะเกิดเป็นมรคผล
ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นครู อาจารย์คนไทยเท่านั้น และนั่นก็เหมือนเป็นการนำเรื่องมาบอกต่อ จำมาสอน จำมาถ่ายทอดเท่านั้น ใช่ว่าจะลึกซึ้งถึงแก่นราก
เปรียบไปก็เหมือนกับการสร้างบ้าน วิศวกรไม่มีความรู้ที่แน่นหนาพอ สร้างไปฐานล่างก็โย้ไปเย้มา ต่อเติมเข้าไปก็เอียง ต่อเติมเข้าไปก็สึกกร่อนรวดเร็ว แล้วก็พังทลายในที่สุด การจะสร้างอะไรให้มั่นคง ฐานรากต้องแข็งแกร่ง ถ้าไม่มีแนวคิดสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งคงประสบความสำเร็จได้ยาก
กระทรวงศึกษาธิการน่าจะทำอะไรที่ทำให้ดูมั่นคง แข็งแรงมากกว่านี้ บอกหลักการที่ทำให้คนฟังแล้วเชื่อมั่นว่ามันจะเป็นไปได้จริง มากกว่าการขายฝัน เอาคะแนน จนบางคนมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพ้อฝัน
ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่านโยบายนี้เป็นเพียงการหาเสียง หาคะแนนของนักการเมือง ในภาวะจวนตัวมากกว่า เพราะรัฐบาลโดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงส่งผลงานในรอบ 3 เดือน เพื่อประเมินความสามารถเบื้องต้น ซ้ำยังมีข่าวคราวการปรับครม.ออกมาอย่างต่อเนื่องไม่เว้นแต่ละวัน
หลายชื่อหลายกระทรวงเข้าข่ายโดนโละทิ้ง
เนื่องเพราะไร้ผลงาน เนื่องเพราะความขัดแย้งภายในบางอย่าง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการถือเป็นหนึ่งในนั้น และกระแสก็เริ่มดัง เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จึงต้องมีการขยับปรับท่าที ขันนอตไขลานภายในกระทรวงตัวเอง แบบปัจจุบันทันด่วน โดยที่มันเป็นเพียงกระแสลมชั่ววูบแล้วก็ผ่านไป เพียงเพื่อแก้ผ้าเอาหน้ารอดเสียมากกว่า
หาก “วรวัจน์” ยังสามารถยื้ออยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อไปได้ หลายคนเชื่อว่านโยบายต่างๆ ที่ผุดออกมาช่วงนี้ อาจหายวับกลับเข้ากลีบเมฆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องเพราะภารกิจสำคัญได้ลุล่วงไปแล้ว
บางครั้งบางทีเรื่องอย่างนี้อาจกลายเป็นวัฒนธรรมที่หลายฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้น เมื่อไฟลนก้นที ก็ตะพึดพะพือทำงานเสียที เมื่อไฟที่ลนก้นดับมอดไปแล้ว ก็ไม่ยี่หระสนใจสิ่งที่เคยตะโกนบอกไว้ ข้าราชการ รวมทั้งประชาชนที่ได้ยินได้ฟังก็ต้องตั้งคำถามว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ จะทำหรือจะเลิก วางตัวกันไม่ถูก
และดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับรัฐบาลพรรคดาวเทียม ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ เป็นคอนดักเตอร์ใหญ่ หลายครั้งต้องการผลสำเร็จโดยเร็ว ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบปัจจุบันทันด่วน โดยไม่มองลึกลงไปถึงแก่นแท้
นั่นก็เป็นที่มาซึ่งหลายเรื่องที่อดีตนายกฯทำผิดพลาดไป ด้วยเพราะต้องการเห็นผลโดยเร็วแต่ไร้ซึ่งความรอบคอบ ลึกซึ้ง
แล้วมันก็กลายเป็นเชื้อลามตามต่อเนื่องมายังลิ่วล้อ จอมสอพลอ ประจบประแจงทั้งหลาย ที่ยึดโมเดลถูกใจนายใหญ่ แต่ไม่ถูกใจนาย ก. นาย ข. สุดท้ายก้าวเดินที่พลาดพลั้ง มันก็สร้างความเสียหาย สร้างความขุ่นข้องหมองใจให้ใครต่อใคร ทั้งแนวต้าน แนวร่วม การณ์ต่างๆ ที่คิดไว้ต้องพลังทลายไปหลายครั้งหลายครา
ด้วยเพราะความคิดที่หุนหันพลันแล่น ใจเร็วด่วนได้ และเปี่ยมไปด้วยความโลภไม่รู้จักจบสิ้น แบบนี้มิใช่หรือ??