xs
xsm
sm
md
lg

แพทย์เตือนสาวใช้ครีมสเตียรอยด์ ระวัง! เส้นเลือดฝอยแตก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
แพทย์เตือนอันตราย “ครีมสเตียรอยด์” ทาแก้แพ้ ผด ผื่น คัน ผิวหนังอักเสบ หญิงไทยใช้ทารักษาให้หน้าเนียน เกิดภาวะเสพติดยา เสี่ยงเส้นเลือดฝอยแตก

วันนี้ (1 ม.ค.) นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ อนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวในการแถลงข่าวเรื่อง “เหรียญ 2 ด้าน ของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเสริมความงามที่ประชาชนต้องรู้จัก” ว่า ปัจจุบันผู้หญิงไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.ซึ่งมีฝุ่นจำนวนมาก ทำให้ผิวหน้ามักเกิดผดผื่นได้ง่าย จึงมีความนิยมซื้อยาชนิดครีม หรือ ขี้ผึ้งสเตียรอยด์มาใช้ จำพวกครีมแก้ผิวหนังอักเสบ แก้แพ้ แก้คัน เมื่ออาการดีขึ้นผิวหน้าเรียบเนียน จึงนิยมใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานทั้งที่อาการผดผื่นหายไปแล้ว ทำให้เกิดอาการเสพติดครีมสเตียร์รอย ต้องใช้ในปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ

“ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าใช้ครีมจะไม่เกิดอันตรายเหมือนยารับประทาน แต่คนไข้ที่ใช้ครีมชนิดนี้เป็นเวลานาน จะเกิดผลข้างเคียง ทำให้ผิวหนังบางลงเวลาโดนแดด มีอาการแสบร้อนได้ และทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังเปราะแตกง่าย เกิดสิวและผื่นอักเสบรอบปาก และไม่สามารถหยุดยาได้ เมื่อหยุดยาจะเกิดอาการแดงและโรคผิวหนังอักเสบเดิมจะเป็นมากขึ้น ส่วนตัวแล้วพบผู้ป่วยเฉลี่ย 3-8 รายต่อสัปดาห์​และเป็นอาการที่รักษายากมาก สำหรับในอวัยวะภายในจะทำใ้ห้เกิดภาวะการทำงานของต่อมหมวกไต มักเกิดจากการใช้ครีมสเตียรอยด์เป็นเวลา โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งถ้าใช้ในเด็กจะทำให้การเจริญเติบโตผิดปกติ”นพ.ชูชัย กล่าว

นพ.ชูชัย กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยสามารถซื้อยาได้เองโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ส่วนประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ประชาชนจะไม่สามารถซื้อใช้เอง ต้องอาศัยใบสั่งแพทย์​เท่านั้น สำหรับคนไทย การใช้ครีมสเตียรอยด์ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์​ ถ้าผู้ป่วยจะซื้อยาในกลุ่มนี้ใช้เอง ควรเลือกชนิดอ่อน เช่น 1% ไฮโดรคอร์ติโซน ครีม (Hidrocortisone Cream) หรือ 0.02% ไทรแอมซิโนโลน ครีม (Triamcinolone Cream) และใช้ติดต่อกันไม่เกินสัปดาห์ ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือ ไม่หายควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องต่อไป

นพ.ชูชัย กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควรจัดแบ่งยาครีมสเตียรอยด์เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ประชาชนสามารถซื้อใช้ได้เองตามร้านขายยา และกลุ่มที่ต้องมีใบสั่งยาของแพทย์​ นอกจากนี้ ยังมียากลุ่มใหม่ 2 ตัวที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ใช้รักษาอาการผิวหนังอักเสบ มีการนำเข้ามาขายกว่า 10 ปี ทั้งที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา และแพทย์ผิวหนังสหรัฐอเมริกา ยังไม่ได้ข้อสรุปถึงประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของยาทั้ง 2 ตัว อย่างไรก็ตาม ยาทั้ง 2 ตัว ยังจำหน่ายในราคาสูง 10-15 กรัมขายในราคา 800-1,800 บาท

พญ.อรยา กว้างสุขสถิตย์ อนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ กล่าวถึงเรื่องการซื้อยาทานเองและเป็นสิวเมื่อไรต้องไปพบแพทย์ ว่า การรักษาสิวที่เป็นปัญหาอย่างมากในปัจจุบัน คือ การที่คนไข่ซื้อยามารับประทานเอง โดยเฉพาะยารับประทาน โรแอคคูเทน(roaccutane) หรือ แอคโนติน (acnotin) หรือ ไอโซเทน (isotane) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มไอโซเตรติโนอิน ซึี่งเป็นกรดวิตามินเอขนาดสูง มีผลข้างเคียงมาก ข้อดีคือ ทำให้สิวหาย แต่ข้อเสียคือ เกิดการทำงานตับผิดปกติ ไขมันและระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูง อาการปวดศีรษะอาจรุนแรงจากความดันในสมองสูง ปวดกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ ลำไส้ใหญ่อักเสบจากการขาดเลือด ทำให้ปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง ผมร่วงบาง เล็บเปราะ เล็บอักเสบ และด้านจิตใจ พบว่าอาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า เคยพบว่ามีการฆ่าตัวตายด้วย นอกจากนี้ ยังห้ามหญิงมีครรภ์รับประทานเด็ดขาดเพราะทำให้ทารกพิการได้

“ปัจจุบันยาดังกล่าวถือเป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ ซึ่งการใช้ต้องมีการเจาะเลือดเพื่อดูความผิดปกติด้วย แต่กลับพบว่า มีการซื้อรับประทานเอง โดยเฉพาะเด็ก ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงขึ้นได้”พญ.อรยา กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น