“วิทยา” สั่งฟันวินัยร้ายแรง เภสัชกร รพ.อุดรธานี ทำหลักฐานเท็จ ส่งยาแก้หวัดสูตรที่มีซูโดอีเฟรดีนผสม 65,000 เม็ด ออกนอกโรงพยาบาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งดำเนินทางวินัยขั้นร้ายแรง และโทษอาญา เภสัชกรประจำห้องยา โรงพยาบาลอุดรธานี หลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบมีการปลอมแปลงหลักฐานจ่ายยาแก้หวัดที่มีสูตรซูโดอีเฟรดีนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษ ส่งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจำนวน 65,000 เม็ด เผยเป็นกรณีตัวอย่าง สั่งขยายผลตรวจสอบโรงพยาบาลในสังกัด และโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่ง เข้มงวดควบคุมตรวจสอบยาชนิดนี้อย่างเคร่งครัด หากพบกระทำผิดจะดำเนินการขั้นเฉียบขาด พร้อมให้ อย.เพิ่มบทลงโทษรุนแรงขึ้นกว่าเดิมจำคุก 5-20 ปี ปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์ พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานี ว่า คณะกรรมการควบคุมยาของโรงพยาบาลอุดรธานีได้ตรวจพบว่ามีการลักลอบนายำแก้หวัดที่มีสูตรซูโดอีเฟรดีน(Psudoephedrine) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ป้องกันการนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด ซึ่งยาชนิดนี้อนุญาตให้ใช้ในโรงพยาบาลสังกัดรัฐและเอกชน ไม่อนุญาตให้จำหน่ายในร้านขายยาทั่วไปและคลินิก โดยเภสัชกรรายนี้เป็นชาย อายุ 40 ปี ตำแหน่งเภสัชกรชำนาญการ ได้ลักลอบนำออกจากโรงพยาบาลจำนวน 130 ขวด ขวดละ 500 เม็ด รวม 65,000 เม็ด โดยจัดทำหลักฐานเท็จว่าตัดจ่ายไปให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในจังหวัดอุดรธานี การกระทำผิดรายนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกและเป็นกรณีตัวอย่างข้าราชการที่มีหน้าที่ดูแลด้านยาโดยตรง ไม่สนองวาระแห่งชาติของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการแก้ไขปัญหายาเสพติด
นายวิทยา กล่าวว่า ได้สั่งการให้ดำเนินคดี ข้าราชการรายดังกล่าว 2 กระทง ได้แก่ 1.ทางวินัยขั้นร้ายแรง โดยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทางวินัย 1 ชุด ให้รายงานผลภายใน 24 ชั่วโมง 2.ดำเนินคดีทางอาญา ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจ และสั่งการขยายผล ให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งรัฐและเอกชน ตรวจสอบควบคุมการจ่ายยาชนิดนี้อย่างเคร่งครัด หากพบกระทำผิดให้ดำเนินการคดีโดยไม่มีการละเว้น
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยกระดับการควบคุมยาแก้หวัดสูตรผสมที่มีซูโดอีเฟรดีนเป็นส่วนประกอบให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภทที่ 2 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ห้ามขายในร้านขายยา หากมีการฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น ทั้งนี้ เมื่อโรงพยาบาลซื้อยาดังกล่าวไปจะต้องทำรายงานส่งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทุกเดือน และส่งรายงานสรุปยอดประจำปี โดยในการจ่ายยาให้คนป่วยทุกครั้ง จะต้องแสดงรายละเอียดในประวัติผู้ป่วย จำนวนการสั่งจ่ายยา และยอดการซื้อของโรงพยาบาล ยอดเหลือยาคงคลัง ต้องตรงกันทั้งหมด หากมีการรั่วไหลหรือมีหลักฐานว่ามีการนำไปขาย จะมีอัตราโทษสูงกว่าเดิม คือ จำคุก 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000บาท ซึ่งโทษเดิมถ้าเป็นยา จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 30,000 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งมีโทษทางวินัย อีกทั้งหากสามารถสืบได้ว่าเกี่ยวพันกับการนำไปผลิตยาเสพติดก็จะส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการยึดทรัพย์ด้วย
ทางด้านนายแพทย์ พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานี กล่าวว่า โรงพยาบาลอุดรธานี เป็นโรงพยาบาลศูนย์กลางของจังหวัด ในการกระจายยาไปให้โรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยมีคณะกรรมการควบคุมยา และมีกระบวนการตรวจสอบภายในทุก 3 เดือน ในกรณีนี้ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัย 1 ชุด ประกอบด้วย เภสัชกรของโรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี และนิติกร และระหว่างตรวจสอบ ได้สั่งย้ายเภสัชกรที่กระทำผิดไปช่วยราชการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีเป็นการชั่วคราวภายใน 24 ชั่วโมงแล้ว โดยจะทราบผลตรวจภายในวันนี้
นพ.สัญชัย ปิยะพงษ์กลุ นายแพทย์สาธารณาสุขจังหวัด (สสจ.) อุดรธานี กล่าวว่า หลังจากได้รับมอบหมายจาก รมว.สธ.เรื่องการตรวจสอบวินัยเภสัชกรผู้ที่ขโมยยาแก้หวัดสูตรซูโดเอฟรีดีน โดยให้ตรวจสอบให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมงนั้น ตนได้แจ้งชื่อไปยังกระทรวงสาธารณสุขแล้ว แต่เหตุที่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ก็เนื่องจากผลการสอบวินัยขั้นสุดท้ายยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ข้อมูลเบื้องต้นเปิดเผยได้แค่ว่าเป็นข้าราชการประจำเท่านั้น โดยหากผลการสอบสวนเป็นอย่างไรก้ช็ต้องลงโทษไปตามความเป็นจริง ตามที่ รมว.สธ.มอบหมาย