วงการสาธารณสุข พบ “ยาต้านเอดส์” มีผลทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอ เผย กลุ่มแถบยุโรปเดินหน้าวิจัยแล้ว 28 งานวิจัย อีกทั้ง มะกัน เริ่มตีพิมพ์ผ่านนิตยสารสุขภาพแล้ว
นพ.สมยศ กิตติมั่นคง หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้มีประเทศแถบยุโรปกำลังมีการดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับยาต้านไวรัสเอชไอวี 4 ชนิด คือ Nelfinavir, Ritonavir, Saquinavir และ Tenofovir เนื่องจากพบว่ายาทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวมีผลทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง โดยไปรบกวนการทำงานของเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้การรักษาทางเคมีบำบัด การฉายแสง ได้ผลดีขึ้น ซึ่งเมื่อปี 2553 ได้มีการตีพิมพ์ข้อมูลลงในหนังสือพิมพ์เทเลกราฟ ของประเทศอังกฤษ ว่า มีผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้ายได้รับการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี Nelfinavir และได้ทำการฉายแสง ปรากฏว่า เซลล์มะเร็งมีขนาดเล็กลงจนในปัจจุบันเกือบจะหายจากโรคดังกล่าวแล้ว โดยที่ผู้ป่วยคนดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีแต่อย่างใด นอกจากนี้ เมื่อเดือน มิ.ย.2554 ยังมีการตีพิมพ์ลงในนิตยาสารของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NIH ระบุถึงยาต้านไวรัสเอชไอวี Tenofovir ว่า สามารถไปยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ด้วย
นพ.สมยศ กล่าวต่อไปว่า เรื่องนี้ประเทศแถบทวีปยุโรปกำลังให้ความสนใจมาก โดยขณะนี้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วประมาณ 28 งานวิจัย แต่ในประเทศไทยเรื่องนี้ยังถือว่าเป็นข้อมูลใหม่อยู่ ยังไม่เคยมีใครเปิดเผยในเรื่องนี้มาก่อน การที่ตนนำข้อมูลเรื่องยี้มาเผยแพร่เพื่อต้องการเป็นความหวังให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพราะมีการยืนยันข้อมูลแล้วว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว มีผลทำให้เซลล์มะเร็งประมาณ 50-60 ชนิดอ่อนแอลง โดยเฉพาะมะเร็งตับอ่อน และมะเร็งปากมดลูก และที่สำคัญยาต้านไวรัสเอชไอวีทั้ง 4 ชนิด มีจำหน่ายในประเทศไทยแล้วถึง 3 ชนิด ยกเว้นเพียง Nelfinavir ที่มีการยกเลิกให้จำหน่ายในประเทศไทยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ยาทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวไม่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่จะต้องให้แพทย์สั่งเท่านั้น
นพ.สมยศ กล่าวด้วยว่า ข้อมูลนี้ถือว่าเป็นความหวังของผู้ป่วยโรคมะเร็ง และเป็นข้อมูลใหม่ที่มีการนำยาต้านไวรัสเอชไอวีไปใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่ยังไม่อยากให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งแตกตื่น เพราะขณะนี้ยังอยู่ในการดำเนินการวิจัยอยู่ ซึ่งหากผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยสนใจเรื่องนี้ตนแนะนำให้เข้าไปขอคำปรึกษาจากแพทย์ก่อน ขณะเดียวกัน ตนได้นำข้อมูลนี้แจ้งให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ตนดูแลอยู่ด้วย เพื่อถามถึงความสมัครใจว่าสนใจที่จะรับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวหรือไม่