ในบรรดาผู้ชายที่ตายไปหลายสิบล้านคนเมื่อปีที่แล้ว คนหนึ่งซึ่งได้รับการกล่าวขวัญถึงในด้านดีมากที่สุดได้แก่ สตีฟ จอบส์ เมื่อเอ่ยถึง สตีฟ จอบส์ ผู้ที่สนใจในด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่คงนึกถึงไอโฟน ไอพอด ไอแพดและแมคบุ๊กซึ่งล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างความประทับใจและให้อรรถประโยชน์สูง ทุกคนคงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอัจฉริยภาพในด้านการออกแบบสิ่งเหล่านั้นของสตีฟเป็นอย่างดี
แต่คงมีเพียงไม่กี่คนที่สนใจศึกษาเรื่องราวของเขาจนรู้ว่าเขาเป็นลูกนอกสมรส พ่อเป็นมุสลิมจากซีเรีย ส่วนแม่เป็นสาวชาวอเมริกัน จากวันที่เขาเกิดในเมืองซานฟรานซิสโกเมื่อปี 2498 พ่อแม่ก็ยกเขาให้เป็นลูกบุญธรรมของสามีภรรยาคู่หนึ่งชื่อพอลและคลาลา จอบส์ พอลเป็นช่างกลึงและคลาลาเป็นนักบัญชีซึ่งมีฐานะปานกลาง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่และมีรายได้มั่นคงแล้ว สตีฟจึงออกค้นหาแม่ผู้ให้กำเนิดจนพบ แต่ไม่ได้สนใจค้นหาพ่อต่อไปจนพบ
เฉกเช่นเด็กอเมริกันจากครอบครัวชนชั้นกลางทั่วไป สตีฟเรียนหนังสือในโรงเรียนประถมและมัธยมของท้องถิ่น หลังจบชั้นมัธยมก็ไปเข้าเรียนในวิทยาลัยในรัฐออริกอน แต่เขาเรียนได้เพียงภาคเดียวก็ลาออก ตอนนี้เองที่ชีวิตของเขาตกต่ำสุดๆ เนื่องจากต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขวดเปล่าขายและอาศัยนอนกับเพื่อนและอาหารนานๆ มื้อจากวัดของศาสนาฮินดู ในระหว่างนั้นเขาเรียนหนังสือไปบ้างแบบไม่เป็นทางการจนเกือบสองปีผ่านไปจึงกลับบ้านเพื่อรับงานในบริษัทผลิตวิดีโอเกมส แต่สตีฟทำงานอยู่ไม่นานก็เดินทางไปอินเดียเพื่อแสวงหาวิชาทางด้านจิตวิญญาณ หลังจาก 7 เดือนเขาจึงกลับบ้านและเข้าทำงานในบริษัทเดิม
ในระหว่างที่ทำงานกับบริษัทนั้น สตีฟศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านคอมพิวเตอร์ไปด้วยและเมื่อปี 2519 ก็ร่วมมือกับเพื่อนตั้งบริษัทแอปเปิลขึ้นโดยใช้โรงรถของบ้านเป็นสถานที่ทำงาน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานซึ่งหลังจากล้มลุกคลุกคลานบ้างเป็นครั้งคราว เขาก็แสดงความเป็นอัจฉริยะแห่งการสร้างเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่เรารู้จักกันในวันนี้ สตีฟเป็นมะเร็งตับอ่อนและเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 56 ปีเท่านั้น
ผู้ที่ติดตามความเป็นไปในวงการคอมพิวเตอร์คงมองเห็นส่วนคล้ายและส่วนต่างระหว่างสตีฟ จอบส์ และ บิล เกตส์ ซึ่งเกิดในปีเดียวกันและสร้างตำนานคล้ายกันหลายอย่าง เช่น เรียนมหาวิทยาลัยไม่จบเพราะหมดความสนใจแล้วหันไปตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์กับเพื่อน ทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น บิลมาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนเอกชนกับลูกหลานของคนมีเงิน ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่และได้บริจาคเงินแล้วหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เมื่อถึงวันที่บิลจากโลกนี้ไป เขาจะได้รับการกล่าวขวัญถึงในแง่ดีเช่นเดียวกันกับที่สตีฟได้รับอย่างแน่นอน
เมื่อศึกษาเรื่องความคล้ายและความต่างระหว่างสตีฟ จอบส์ กับ บิล เกตส์ แล้วอดนึกถึงนักการเมืองสองคนมิได้ ทั้งสองมีความคล้ายและความต่างอย่างน่าศึกษาเช่นกัน คนหนึ่งคือเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ ส่วนอีกคนไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อให้เป็นเสนียดแก่หนังสือพิมพ์นี้ เพราะคงเป็นที่รู้กันหากบอกว่าเขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่หนีคุกไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ
ทั้งสองคนนี้มีภูมิหลังคล้ายกันในด้านการมาจากครอบครัวที่พอมีอันจะกิน มีการศึกษาสูง ลงเล่นการเมืองจนได้เป็นผู้นำรัฐบาลและใช้ตำแหน่งเพื่อการสร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวของตัวเองและพวกพ้อง ความฉ้อฉลของคนทั้งสองทำลายโครงสร้างของสังคมแบบถึงรากเหง้า พวกเขาถูกประชาชนขับไล่และหนีไปอยู่ในต่างประเทศ แต่พยายามดิ้นรนจะกลับบ้านเกิดจนคนหนึ่งตายแบบไร้แผ่นดิน ในขณะที่ฟิลิปปินส์ต้องรับกรรมด้วยความล้มลุกคลุกคลานเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของสังคมถูกทำลายจนแทบไม่มีชิ้นดี
ส่วนทางเมืองไทยยังไม่วิวัฒน์ไปถึงขนาดนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะล้มลุกคลุกคลานในวันข้างหน้า ทั้งนี้เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีหนีคุกยังพยายามทำลายรากเหง้าของสังคมต่อไป และก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยไม่มียางอาย
มาร์กอสใช้เวลา 21 ปีทำลายโครงสร้างทางสังคมของฟิลิปปินส์ อดีตนายกฯ ของไทยคงใช้เวลาน้อยกว่านั้นเนื่องจากยุคนี้เทคโนโลยีมีประสิทธิภาพสูงกว่ายกเว้นในกรณีที่คนไทยส่วนใหญ่จะออกมาต่อต้านการทำลายแบบบ้าคลั่งนั้นอย่างจริงจังจากวันนี้เป็นต้นไป หากเป็นเช่นนั้น อดีตนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อก็จะตายแบบไร้แผ่นดินท่ามกลางเสียงก่นด่าเช่นเดียวกับมาร์กอสและเมืองไทยอาจไม่ล้มลุกคลุกคลานเช่นฟิลิปปินส์
จากมุมมองของการเปรียบเทียบดังกล่าวมานี้ อดีตนายกรัฐมนตรีหนีคุกของไทยจะตายแบบมหาเศรษฐีผู้ไร้ซึ่งความดีจนไม่มีที่นอนตายในบ้านเกิดของตนอันเป็นตัวอย่างทางด้านความเลวทราม นั่นจะต่างกันปานฟ้ากับดินกับสตีฟ จอบส์ ซึ่งถือกำเนิดแบบวณิพกผู้ไร้ความใส่ใจจากพ่อแม่แท้ๆ ของตน แต่ตายในฐานะผู้มั่งมีโดยเฉพาะในรูปของตำนานที่สร้างไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษาเพื่อนำมาเป็นตัวอย่างในทางสร้างสรรค์
แต่คงมีเพียงไม่กี่คนที่สนใจศึกษาเรื่องราวของเขาจนรู้ว่าเขาเป็นลูกนอกสมรส พ่อเป็นมุสลิมจากซีเรีย ส่วนแม่เป็นสาวชาวอเมริกัน จากวันที่เขาเกิดในเมืองซานฟรานซิสโกเมื่อปี 2498 พ่อแม่ก็ยกเขาให้เป็นลูกบุญธรรมของสามีภรรยาคู่หนึ่งชื่อพอลและคลาลา จอบส์ พอลเป็นช่างกลึงและคลาลาเป็นนักบัญชีซึ่งมีฐานะปานกลาง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่และมีรายได้มั่นคงแล้ว สตีฟจึงออกค้นหาแม่ผู้ให้กำเนิดจนพบ แต่ไม่ได้สนใจค้นหาพ่อต่อไปจนพบ
เฉกเช่นเด็กอเมริกันจากครอบครัวชนชั้นกลางทั่วไป สตีฟเรียนหนังสือในโรงเรียนประถมและมัธยมของท้องถิ่น หลังจบชั้นมัธยมก็ไปเข้าเรียนในวิทยาลัยในรัฐออริกอน แต่เขาเรียนได้เพียงภาคเดียวก็ลาออก ตอนนี้เองที่ชีวิตของเขาตกต่ำสุดๆ เนื่องจากต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขวดเปล่าขายและอาศัยนอนกับเพื่อนและอาหารนานๆ มื้อจากวัดของศาสนาฮินดู ในระหว่างนั้นเขาเรียนหนังสือไปบ้างแบบไม่เป็นทางการจนเกือบสองปีผ่านไปจึงกลับบ้านเพื่อรับงานในบริษัทผลิตวิดีโอเกมส แต่สตีฟทำงานอยู่ไม่นานก็เดินทางไปอินเดียเพื่อแสวงหาวิชาทางด้านจิตวิญญาณ หลังจาก 7 เดือนเขาจึงกลับบ้านและเข้าทำงานในบริษัทเดิม
ในระหว่างที่ทำงานกับบริษัทนั้น สตีฟศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านคอมพิวเตอร์ไปด้วยและเมื่อปี 2519 ก็ร่วมมือกับเพื่อนตั้งบริษัทแอปเปิลขึ้นโดยใช้โรงรถของบ้านเป็นสถานที่ทำงาน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานซึ่งหลังจากล้มลุกคลุกคลานบ้างเป็นครั้งคราว เขาก็แสดงความเป็นอัจฉริยะแห่งการสร้างเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่เรารู้จักกันในวันนี้ สตีฟเป็นมะเร็งตับอ่อนและเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 56 ปีเท่านั้น
ผู้ที่ติดตามความเป็นไปในวงการคอมพิวเตอร์คงมองเห็นส่วนคล้ายและส่วนต่างระหว่างสตีฟ จอบส์ และ บิล เกตส์ ซึ่งเกิดในปีเดียวกันและสร้างตำนานคล้ายกันหลายอย่าง เช่น เรียนมหาวิทยาลัยไม่จบเพราะหมดความสนใจแล้วหันไปตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์กับเพื่อน ทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น บิลมาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนเอกชนกับลูกหลานของคนมีเงิน ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่และได้บริจาคเงินแล้วหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เมื่อถึงวันที่บิลจากโลกนี้ไป เขาจะได้รับการกล่าวขวัญถึงในแง่ดีเช่นเดียวกันกับที่สตีฟได้รับอย่างแน่นอน
เมื่อศึกษาเรื่องความคล้ายและความต่างระหว่างสตีฟ จอบส์ กับ บิล เกตส์ แล้วอดนึกถึงนักการเมืองสองคนมิได้ ทั้งสองมีความคล้ายและความต่างอย่างน่าศึกษาเช่นกัน คนหนึ่งคือเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ ส่วนอีกคนไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อให้เป็นเสนียดแก่หนังสือพิมพ์นี้ เพราะคงเป็นที่รู้กันหากบอกว่าเขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่หนีคุกไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ
ทั้งสองคนนี้มีภูมิหลังคล้ายกันในด้านการมาจากครอบครัวที่พอมีอันจะกิน มีการศึกษาสูง ลงเล่นการเมืองจนได้เป็นผู้นำรัฐบาลและใช้ตำแหน่งเพื่อการสร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวของตัวเองและพวกพ้อง ความฉ้อฉลของคนทั้งสองทำลายโครงสร้างของสังคมแบบถึงรากเหง้า พวกเขาถูกประชาชนขับไล่และหนีไปอยู่ในต่างประเทศ แต่พยายามดิ้นรนจะกลับบ้านเกิดจนคนหนึ่งตายแบบไร้แผ่นดิน ในขณะที่ฟิลิปปินส์ต้องรับกรรมด้วยความล้มลุกคลุกคลานเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของสังคมถูกทำลายจนแทบไม่มีชิ้นดี
ส่วนทางเมืองไทยยังไม่วิวัฒน์ไปถึงขนาดนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะล้มลุกคลุกคลานในวันข้างหน้า ทั้งนี้เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีหนีคุกยังพยายามทำลายรากเหง้าของสังคมต่อไป และก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยไม่มียางอาย
มาร์กอสใช้เวลา 21 ปีทำลายโครงสร้างทางสังคมของฟิลิปปินส์ อดีตนายกฯ ของไทยคงใช้เวลาน้อยกว่านั้นเนื่องจากยุคนี้เทคโนโลยีมีประสิทธิภาพสูงกว่ายกเว้นในกรณีที่คนไทยส่วนใหญ่จะออกมาต่อต้านการทำลายแบบบ้าคลั่งนั้นอย่างจริงจังจากวันนี้เป็นต้นไป หากเป็นเช่นนั้น อดีตนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อก็จะตายแบบไร้แผ่นดินท่ามกลางเสียงก่นด่าเช่นเดียวกับมาร์กอสและเมืองไทยอาจไม่ล้มลุกคลุกคลานเช่นฟิลิปปินส์
จากมุมมองของการเปรียบเทียบดังกล่าวมานี้ อดีตนายกรัฐมนตรีหนีคุกของไทยจะตายแบบมหาเศรษฐีผู้ไร้ซึ่งความดีจนไม่มีที่นอนตายในบ้านเกิดของตนอันเป็นตัวอย่างทางด้านความเลวทราม นั่นจะต่างกันปานฟ้ากับดินกับสตีฟ จอบส์ ซึ่งถือกำเนิดแบบวณิพกผู้ไร้ความใส่ใจจากพ่อแม่แท้ๆ ของตน แต่ตายในฐานะผู้มั่งมีโดยเฉพาะในรูปของตำนานที่สร้างไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษาเพื่อนำมาเป็นตัวอย่างในทางสร้างสรรค์