“วิทยา” ยันโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องอยู่คู่คนไทย ย้ำ อนุกรรมการทุกชุดผ่านกระบวนการพิจารณาตามกระบวนการ
วันนี้ (27 ม.ค.) จ.นนทบุรี นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิษฐ์ถาวร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเรื่องการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
นายวิทยา กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเสนอข่าวแสดงความคิดเห็นว่า มีการวางแผนบันได 4 ขั้น เพื่อล้มโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น ขอยืนยันว่า โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะต้องอยู่คู่กับประชาชนไทย รัฐบาลไม่มีความคิดที่จะล้มเลิกโครงการนี้ มีแต่นโยบายที่จะพัฒนาคุณภาพบริการให้มากขึ้น ลดความแออัด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว อีกทั้งยังให้ระบบการส่งต่อมีประสิทธิภาพ เพื่อให้หลักประกันว่า ประชาชนจะเข้าถึงบริการโรคที่มีความยุ่งยากซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายสูง โดยไม่เป็นภาระของครอบครัว และไม่ต้องรอนาน จนทำให้โรคลุกลามจนยากแก่การรักษา
“สำหรับเรื่องการคัดเลือกคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติชุดใหม่ของบอร์ด สปสช.ที่มีผู้แสดงความกังวล ว่า มีทิศทางไปในทางไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิทธิประโยชน์ของประชาชนนั้น ขอชี้แจงว่า ขณะนี้บอร์ดสปสช.ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาครบถ้วนแล้ว มีมติแต่งตั้งแล้ว 12 ชุด เหลืออีก 1 ชุดคือ อนุกรรมการประชาสัมพันธ์” นายวิทยา กล่าว
รมว.สธ.กล่าวว่า เนื่องจากมีตัวแทนของภาคประชาชนในสาขาต่างๆ เข้ามาร่วมในบอร์ด สปสช.ด้วย อยากให้ประชาชนรับทราบว่า เจตนาของรัฐบาลและตนในฐานะที่เป็นประธานบอร์ด มีความคาดหวังอยากให้การดูแลสุขภาพของประชาชนได้ครอบคลุม อยากให้งานของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ขับเคลื่อนและเดินหน้าต่อไป เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน ดังนั้น สปสช.จะเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะในปี 2555 ซึ่งเหลือระยะเวลาดำเนินการจำกัด และมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องเร่งพิจารณาดำเนินการ อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ นางวรานุช ลาออกนั้น มีผลต่อการทำงานหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ขอชี้แจงว่า คณะอนุกรรมการเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการทำงาน โดยมีบทบาททำหน้าที่เพียงจัดทำรายละเอียดและข้อเสนอให้บอร์ดเป็นผู้พิจารณาตัดสินใจในการกำหนดนโยบายและกลวิธีในการดำเนินการ การกำหนดนโยบายจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับอนุกรรมการ นอกจากนี้ กรรมการภาคประชาชนก็เป็นกรรมการอยู่ในบอร์ด สปสช.อยู่แล้ว ดังนั้น โดยหลักการแล้ว อนุกรรมการควรเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับบอร์ด ยกเว้นผู้ที่จะทำหน้าที่โดยตำแหน่ง ซึ่งผู้ที่จะมาทำงานนี้ต้องมีความหนักแน่น ไม่เช่นนั้นงานก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพื่อให้เกิดการทำงานนำไปสู่การบริการประชาชน เพราะงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะต้องดูแลภาพรวมในการบริการสุขภาพประชาชนมากกว่า 40 ล้านคน หากคิดว่าองค์ประกอบในส่วนนี้จะทำให้การทำงานดำเนินการต่อไปไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“ขอยืนยันว่า คณะกรรมการทั้งหมดนั้นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้อง เพื่อที่จะทำงานให้กับประชาชน เพราะฉะนั้นยินดีรับฟังความคิดเห็นจากบางท่านที่แตกต่างกัน แต่ไม่ต้องการให้คิดว่าจะไม่สามารถขับเคลื่อนงานต่อไปได้ ขอให้ผู้ที่คิดว่าจะพยายามให้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติเดินหน้าต่อไปไม่ได้ กลับมาช่วยกันทำให้เกิดงานและดูแลประชาชนต่อไป” รมว.สธ.กล่าว
นพ.วินัย กล่าวว่า คณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ซึ่งบอร์ด สปสช.มีมติเห็นชอบแล้ว 12 ชุด ได้แก่ 1.คณะอนุกรรมการด้านบริหารยุทธศาสตร์ มี นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน 2.คณะกรรมการอนุกรรมการเพื่อการพัฒนาสิทธิประโยชน์และระบบบริการ มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน 3.คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง มี น.ส.วรนุช หงสประภาส ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงินการคลัง บอร์ด สปสช.เป็นประธาน 4.คณะกรรมการประเมินผลระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มี นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นประธาน 5.คณะอนุกรรมการกลั่นกรองกรณีอุทธรณ์ มี ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นประธาน 6.คณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาและบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ มี นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธาน
7.คณะอนุกรรมการด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มี นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และแพทย์ทางเลือก เป็นประธาน 8.คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มี พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านประกันสุขภาพ เป็นประธาน 9.คณะอนุกรรมการตรวจสอบ ยังคงใช้คณะกรรมการชุดเดิม คือนายเปล่ง ทองสม เป็นประธาน 10.คณะอนุกรรมการธรรมาภิบาล ดร.สุนีย์ มัลลิมาลย์ ศาสตรจารย์ระดับ 10 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน 11.คณะอนุกรรมการการมีส่วนร่วมและการคุ้มครองสิทธิ มี ดร.สุนีย์ มัลลิมาลย์ ศาสตรจารย์ระดับ 10 คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เป็นประธาน และ 12.คณะอนุกรรมการทบทวนกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มี นายสุพจน์ ฤชุพันธุ์ อดีตอัยการจังหวัด สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน เป็นประธาน
“องค์ประกอบของอนุกรรมการแต่ละชุด พิจารณาจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาคราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ และภาคประชาชน เพื่อให้มีความคิดเห็นที่หลากหลาย รอบด้าน และสะท้อนถึงผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง โดยขั้นตอนในการพิจารณาเรื่องนี้ สปสช.ได้ส่งเอกสารที่เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และองค์ประกอบของอนุกรรมการ ให้บอร์ด สปสช.ทุกท่านพิจารณาล่วงหน้าแล้ว และเชื่อมั่นว่า กรรมการทุกท่านได้พิจารณากันอย่างรอบคอบ อีกทั้งในการประชุมก็ได้เปิดโอกาสให้บอร์ดทุกท่านแสดงความคิดเห็น อภิปราย และซักถามข้อสงสัยกันอย่างเต็มที่ จนเป็นที่พอใจของบอร์ด สปสช.” นพ.วินัย กล่าว
ด้าน พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) กล่าวว่า แผนล้มระบบหลักประกันสุขภาพ 4 ขั้นตอนนั้นไม่มีจริง เพราะเจตนาที่ สพศท.และหลายเครือข่ายพยายามชี้แจง ก็มีเพียงแค่เรื่องของการเสนอแนวทางการบริหารหลักประกันสุขภาพด้วยความโปร่งใสเท่านั้น ส่วนกรณีที่นางวรานุช ลาออกนั้น เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งอะไร แต่เป็นเพระาภาระงานหนัก
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย(สผพท) กล่าวว่า ในการเดินหน้าเรื่องระบบสุขภาพอย่างเท่าเทียมนั้น ต้องเกิดจากการปฏิบัติต่อผู้ไม่เท่ากันอย่างไม่เหมือนกันเช่นคนไหนมีรายได้น้อยก็จ่ายภาษีน้อยแต่ควรได้รับการช่วยเหลือจากสังคมมาก ผู้ใหญ่รายได้มาก็จ่ายภาษีมากและไม่ต้องมาแบมือขอรับสวัสดิการสังคมอีกแล้ว จะได้มีเงินงบประมาณเหลือไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆบ้าง แต่ที่ผ่านมานั้น ความชัดเจนเรื่องการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของ สปสช.ส่อทุจริตหรือบกพร่องด้านการใช้งบประมาณแผ่นดินตามที่สตง.ชี้ 7 ประเด็นแล้ว สะท้อนว่า กองทุนสปสช.มีฐานะการเงินที่ย่ำแย่ลง ดังนั้น ผู้เสียผลประโยชน์หลายส่วนจึงพยายามรวมกองทุนประกันสุขภาพ ซึ่งพยายามสร้างมายาคติให้คนในสังคมเข้าใจว่า หลักประกันสุขภาพจะถูกโค่นล้ม