xs
xsm
sm
md
lg

“ดร.สมิทธ” จวกรัฐบาลไร้แผนป้องกันน้ำท่วม ชี้ปีหน้าเกิดน้ำท่วมแน่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
สพฉ.จัดเสวนาถอดบทเรียนน้ำท่วม หวังรับภัยพิบัติ 55 ด้วยความพร้อม “ดร.สมิทธ” ชี้ ปีหน้าเกิดน้ำท่วมแน่ ย้ำ ต้องมีสติ สร้างองค์ความรู้สู่ประชาชน แนะรัฐบาลควรบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เลขา สพฉ.เผย อบรมพยาบาล เตรียมรับมือแล้ว

ที่โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบุรี สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดเสวนา “ถอดบทเรียนเหตุการณ์มหาอุทกภัย สานพลังเครือข่าย รับภัยพิบัติ 2555” โดยมี นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “ภัยพิบัติธรรมชาติและสถานการณ์ภัยพิบัติของโลกในอนาคต”

ดร.สมิทธ กล่าวว่า สิ่งสำคัญของการรับมือภัยพิบัติ คือ การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เบื้องต้นไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาท และต้องตระหนัก ตั้งสติให้มั่น เพราะมนุษย์โลกคงไม่สามารถบังคับภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติได้ แต่ทางที่ดี คือ ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างปลอดภัย เพราะเราจะต้องประสบภัยน้ำท่วมอย่างแน่นอนในฤดูฝนข้างหน้า หรือประสบกับภาวะภัยพิบัตคล้ายๆ กับปีที่ผ่านมา หรือน้อยกว่าเล็กน้อยอย่างแน่นอน คือ ประมาณเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน ซึ่งขณะนี้ตนยังไม่เห็นแผนการเตรียมการว่ารัฐบาลมีการระบายน้ำอย่างไร แต่มีแผนเรื่องการใช้งบประมาณแล้ว และระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 90 ของความจุเชื่อน ซึ่งไม่ทราบว่าทำไมถึงต้องกักเก็บน้ำไว้ตั้งแต่ต้นฤดู ส่วนการปล่อยน้ำในปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีการบูรณาการ เพราะระดับน้ำในเขื่อน 3 เขื่อนหลักๆ เกินวันละร้อยล้านลูกบาศก์เมตร แต่ระบายออกได้ไม่ถึงร้อยล้าน จึงไม่แปลกที่น้ำจะท่วม ซึ่งนี่คือความผิดพลาดของการบริหารน้ำ และปีหน้าก็จะเป็นเช่นนี้ถ้ายังไม่มีแผน และไม่มีระบบเตือนภัย

“การบูรณาการระหว่างหน่วยงานในเมืองไทยใช้ไม่ได้ เราไม่เคยใช้ข้อมูลในการบริหารน้ำล่วงหน้า ไม่มีข้อมูล การคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา แม้จะประกาศให้ทราบ แต่หน่วยงานที่บริหารจัดการน้ำไม่เคยนำข้อมูลมาใช้เรื่องการบริหารจัดการน้ำในเขื่อน และไม่เข้าใจว่าเหตุใดหน่วยงานที่บริหารน้ำในประเทศไทยมีมากกว่า 20 หน่วยงาน ถือได้ว่ามากที่สุดในโลก แต่กลับอยู่คนละกระทรวง ทบวง กรม อาทิ อยู่ใต้อำนาจของผู้บริหารแต่ละคนซึ่งเป็นนักการเมือง” ดร.สมิทธ กล่าว

ขณะเดียวกัน เห็นว่า ประชาชนก็ไม่มีความรู้ในการรับมือ ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นประการแรก หน่วยงานภาครัฐควรทั้งให้ความรู้กับประชาชนในการรับมือที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นท้ายที่สุดกลุ่มที่ต้องรับภาระหนักคงหนีไม่พ้นแพทย์และพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมา อุปกรณ์ก็มีไม่เพียงพอ ดังนั้น ควรหารือกับสำนักงบประมาณเพื่ออุปกรณ์ในการทำงานช่วงน้ำท่วมด้วย

ด้าน นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวเสริมว่า เห็นได้ชัดว่า เราจะต้องเตรียมแผนในการรับมือและป้องกัน เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินอยู่รอดและปลอดภัย ซึ่งจากสถานการณ์ภัยพิบัติที่ผ่านมาในวงการแพทย์และวงการสาธารณสุขไทยถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง คือ ไม่มีโรคระบาดเกิดขึ้น และไม่มีผู้เสียชีวิตระหว่างการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีการเตรียมพร้อมที่ดี ต้องมีแผนเสมอว่าหากเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดจะทำอย่างไร ซึ่งเบื้องต้น สพฉ.ซึ่งเสมือนเป็นตัวกลางในการประสานความช่วยเหลือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และมูลนิธิต่างๆ ก็ได้เตรียมรับมือแล้ว โดยเบื้องต้นได้ประสานความร่วมมือ และจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมรถพยาบาลยกสูง และเตรียมจัดฝึกอบรมทีมปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็วตอบโต้ภัยพิบัติแห่งชาติ (DMERT) จากเดิมที่มี 8 ทีม เพิ่มอีก 10 ทีม เพื่อให้กระจายให้ครบทุกเขตทั่วประเทศ เพื่อความทันการณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยและผู้ป่วยฉุกเฉิน
กำลังโหลดความคิดเห็น