“สมิทธ” เตือนคลื่นยักษ์อาจเกิดขึ้นซ้ำ ต้องเฝ้าระวัง ส่วนความเสี่ยงกระทบ กทม.น้อยมาก ชี้ ระบบเตือนภัย จ.ชุมพร แย่ ไม่ยอมทำงาน ทั้งที่กรมอุตุฯได้เตือนไปแล้ว ทำให้ชาวบ้านเสียหาย ด้านนักวิชาการ ชี้ สาเหตุมาจากโรคร้อน
นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวถึงคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ นครศรีธรรมราช ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ ว่า เป็น สตอร์ม เซิร์จ (storm surge) ที่เกิดขึ้นจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดแรงเกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดคลื่นสูงเกิน 5 เมตร ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้อีก เพราะช่วงนี้ลมมรสุมมีกำลังแรง โดยพื้นที่เฝ้าระวังตั้งแต่ชุมพรไปถึงสุราษฎร์ธานี รวมทั้งจังหวัดปัตตานี จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก จึงต้องมีการเฝ้าระวังต่อไป
“การทำงานของศูนย์เตือนภัยฯ กรณีเกิดคลื่นยักษ์ ใน จ.ชุมพร ล่าสุด แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ด้อยประสิทธิภาพ ที่ไม่ยอมทำงาน ทั้งที่กรมอุตุฯได้ประสานข้อมูลมาแล้ว ทำให้ชาวบ้านริมชายฝั่งบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก” นายสมิทธ กล่าว
**ชี้เกิด “สตอร์มเซิร์จ” ใน กทม.เป็นไปได้ยาก
นายสมิทธ ยังกล่าวถึงโอกาสเกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จ (Storm Surge) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) นั้น มีน้อยมาก การเกิดขึ้นใน กทม.ต้องมีพายุที่มีจุดศูนย์กลางความเร็วลม 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในพื้นที่อ่าวไทย ซึ่งถ้าดูตามสภาพพื้นที่โดย กทม.ถือว่าอยู่ในบริเวณก้นอ่าวไทย และสภาพทางภูมิศาสตร์ของอ่าวไทยตอนบน ไม่เอื้ออำนวยต่อการเกิดสตอร์มเซิร์จเท่าใดนัก เนื่องจากอ่าวไทยตอนบนมักจะมีพายุที่ไม่รุนแรกมากนักโดยมักจะมีความเร็วลมน้อยกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่การเกิดพายุจะเคลื่อนตัวถึง จ.ชุมพร เท่านั้น การที่จะส่งผลถึง กทม.ลมพายุต้องเคลื่อนมาถึง จ.เพชรบุรี เรื่อยมาถึง จ.สมุทรสาคร จึงจะได้รับผลซึ่งหากดูตามตำราของต่างประเทศ กทม.โอกาสเกิดสตอร์มเซิร์จนั้น แทบเป็นศูนย์ แต่ตนเองมองว่าโอกาสเกิดก็มีแต่น้อยถึงน้อยมาก
**นักวิชาการชี้เหตุคลื่นยักษ์มาจากโลกร้อน
ด้าน รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาคธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สถานการณ์มรสุมที่พัดถล่มอย่างหนักในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ คงมาจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดมาเป็น 10 ปีแล้ว ช่วงที่เจอหนักๆ ก็จะเป็นช่วงปี 2547 และ 2549 ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง
รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากเมื่อ 20-30 ปีก่อน คลื่นสูงไม่เกิน 1 เมตร แต่ 10 ปีให้หลัง ความสูงของคลื่นเพิ่มขึ้นเป็น 2-4 เมตร ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกิดจากลมหนาวที่พัดเข้ามา หลังจากนี้ 4-5 วัน กรุงเทพฯ จะหนาวเพิ่มขึ้น ทำให้อุณหภูมิลดลงอีก 3 องศา อาจทำให้ภาคใต้ได้รับผลกระทบจากลมหนาวครั้งนี้
