กรมแพทย์จัดอบรม ศาสตร์ “โวยต้า” ศาสตร์นวดบำบัดจากเมืองเบียร์ ถ่ายทอดสู่นักกายภาพบำบัดไทยเป็นครั้งแรก หวังฟื้นฟูผู้พิการทางการเคลื่อนไหว
วันนี้ (15 ส.ค.) นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในการประชุมอบรมเชิงปฏิบัติการบำบัดรักษาเด็กพิการทางการเคลื่อนไหว ด้วย เทคนิคโวยต้า (Vojta therapy) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-26 ส.ค. ที่ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยมีผู้เข้าอบรมในหลักสูตรแรกจำนวน 26 คน
โดย นพ.เรวัต กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้เป็นการอบรมแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่และนักกายภาพบำบัดจากทั่วประเทศ ซึ่งมีประสบการณ์ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เทคนิคดังกล่าวเป็นเทคนิคจากมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก สธารณรัฐเยอรมัน โดยประเทศไทยนำมาใช้เป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้ลงนามความร่วมมือไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จุดประสงค์หลักของการอบรมครั้งนี้เป็นไปเพื่อพัฒนาวิชาชีพ ด้านการทำกายภาพบำบัด ซึ่งมีวิทยากรจากสมาคมโวยต้า เมืองมิวนิก มาเป็นวิทยากรบรรยายตลอดเวลา 2 สัปดาห์
นพ.เรวัตกล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์ผู้พิการทางประสาทด้านการเคลื่อนไหวที่ลงทะเบียน อาทิ แขนขาด้วน สมองพิการ อัมพฤกษ์ นั้นมีจำนวนราว 6 แสนราย จากจำนวนผู้พิการทั้งหมด 1.2 ล้านคน ซึ่งการใช้ศาสตร์ โว๊ยต้า จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น ซึ่งทางกรมการแพทย์จะมีการพัฒนาเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยตามความเหมาะสม แต่ตัวผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ความอดทนต่อการรักษาอย่างมาก รวมทั้งผู้ที่ดูแลอาการก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ด้าน พญ.ดารณี สุวพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์สิรินธรฯ อธิบายว่า การอบรมวิธีทำกายภาพบำบัดด้วย ศาสตร์โวยต้าจะคล้ายๆ กับการนวดกดจุดของประเทศไทย แต่เน้นที่การกระตุ้นส่วนประสาทระบบการเคลื่อนไหวที่มีปัญหา เมื่อผู้ป่วยได้รับการกดจุดได้ตรงระบบประสาทก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง คืออาจจะกระตุกบริเวณแขน ขา ตามตำแหน่งที่ระบบประสาทควบคุมและรับรู้ ช่วยให้กล้ามเนื้อเริ่มขยับได้เป็นส่วนๆ โดยบริเวณที่ต้องเน้นมากที่สุด คือ ลำตัว สำหรับระยะเวลาในการทำกายภาพด้วยศาสตร์ดังกล่าวนั้นในผู้ที่อาการไม่หนักมาก จะดีขึ้นอย่างเร็ว ที่สุดราว 2 เดือน ในส่วนของค่าใช้จ่ายเพื่อกายภาพบำบัดนั้นสำหรับสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเบิกได้ในอัตรา 150 บาทต่อครั้ง โดยในต่างประเทศมีการใช้มากที่สหภาพยุโรป มีค่าบริการครั้งราวละ 2,000 บาท แต่ในประเทศไทยยังไม่ได้กำหนดอัตราการบริการที่แน่นอน โดยจะกำหนดได้ก็ต่อเมื่อมีเจ้าหน้าที่และสถานบริการพร้อมแล้วเท่านั้น ซึ่งคาดว่าคงใช้ระยะเวลาไม่นาน