นักวิชาการ จี้ รมว.แรงงาน เดินหน้าปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บ.-เงิน ป.ตรี 1.5 หมื่น ชี้ บทพิสูจน์รัฐบาลใหม่ แนะขยับค่าจ้างให้แรงงานฝีมือ หนุนตั้งสหภาพแรงงาน ด้าน กก.ค่าจ้าง วอนอย่าแทรกแซงระบบไตรภาคี ปล่อยให้พิจารณาขึ้นค่าจ้างอย่างอิสระ
วันนี้ (11 ส.ค.) ศาสตราภิชานแล ดิลกวิทยรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า นโยบายด้านแรงงาน ที่ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) ควรเริ่มดำเนินการทันที คือ การทำตามสัญญาที่ไว้หาเสียงไว้ในเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 ต่อวันทั่วประเทศ และการปรับเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 1.5 หมื่นบาท โดยเฉพาะค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศนั้น แรงงานทั่วประเทศต่างจับตา ว่า รัฐบาลชุดใหม่จะทำได้หรือเปล่า เป็นเรื่องที่พิสูจน์รัฐบาลชุดนี้ ถ้าทำให้เป็นรูปธรรมได้ แรงงานก็จะให้การยอมรับรัฐบาลชุดนี้
ศาสตราภิชานแล กล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากให้ รมว.รง.ช่วยผลักดันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานมากที่สุด ก็คือ การปรับค่าจ้างของแรงงานให้เหมาะสม และมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตโดยไม่ต้องทำโอที และกู้เงินมาใช้จ่าย จะได้ไม่ต้องเบียดเบียนเวลาที่อยู่กับครอบครัว จนสร้างปัญหาครอบครัวแตกแยก ซึ่งปัจจุบันต้นทุนค่าจ้างอยู่ที่ 10% โดยสินค้าราคา 100 บาท เป็นต้นทุนค่าจ้าง 10 บาท อยากให้ต้นทุนค่าจ้างเพิ่มเป็น 15-20% และแรงงานที่ทำอยู่เดิมซึ่งได้ค่าจ้างมากกว่า 300 บาทต่อวันไปแล้ว จะได้ขยับขึ้นค่าจ้างเป็นทอดๆ ไป แรงงานจะได้เดินหน้าอ้าปากได้ อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยหากจะนำเงินภาษีของประชาชนมาชดเชยส่วนต่างต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นให้แก่นายจ้าง เพราะอยากให้ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งนายจ้างต้องรู้จักเฉือนเนื้อตัวเองและเสียสละ รับผิดชอบต่อสังคมบ้าง
“ขณะเดียวกัน อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ให้การรับรองเรื่องอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ฉบับที่ 87 และ 98 ในเรื่องสิทธิเสรีภาพจัดตั้งสหภาพแรงงาน เพื่อให้แรงงานได้มีสหภาพไว้เจรจาต่อรองสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่างๆ กับนายจ้างได้โดยไม่ถูกไล่ออก แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่นายจ้างสามารถทำได้ รวมทั้งเร่งพัฒนาฝีมือแรงงานให้สอดรับการปรับขึ้นค่าจ้าง และยกระดับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ให้เป็นองค์กรอิสระ ไม่ใช่ให้ปลัดกระทรวงแรงงาน หรือ รมว.แรงงาน เป็นประธานบอร์ด สปส.และสนับสนุนแรงงานนอกระบบสู่ประกันสังคม ทั้งนี้ นอกจากนโยบายรัฐบาลทั้งสองเรื่องแล้ว รมว.แรงงาน แทบไม่ต้องคิดทำอะไรใหม่เลย เพราะมีโจทย์ที่ฝ่ายแรงงานได้ชี้เป้าเอาไว้ให้หลายปีแล้ว แค่รัฐมนตรีทำงานไปตามโจทย์เหล่านี้ จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานให้ดีขึ้นได้มาก” ศ.ภิชานแล กล่าว
รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผอ.วิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า รมว.แรงงาน จะต้องเดินหน้านโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ทั้งการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน การปรับเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 1.5 หมื่นบาท การดูแลต่างด้าว รวมทั้งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานและเตรียมมาตรการด้านแรงงานรองรับประชาคมอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2558 และเฝ้าระวังป้องกันการค้ามนุษย์ ซึ่งขณะนี้ไทยถูกต่างประเทศจับตามองเป็นพิเศษ เพราะอยู่ในระดับ 2 หากขึ้นถึงระดับ 3 จะถูกกีดกันทางการค้า ดังนั้น กระทรวงแรงงานจึงต้องร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังและแก้ปัญหาในเรื่องนี้
นายอรรถยุทธ ลียะวณิช กรรมการค่าจ้างกลางและเลขาธิการสภาองค์การนายจ้างผู้ค้าและผู้บริการเครื่องอุปโภคบริโภค กล่าวว่า ขอขอบคุณ รมว.แรงงาน ที่มีท่าทีประนีประนอมในการเดินหน้านโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน โดยจะดำเนินการผ่านคณะกรรมการระบบไตรภาคีที่มีทั้งฝ่ายรัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้าง ร่วมกันพิจารณาโดยคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และทำให้ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างสามารถอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้นอยากให้รมว.แรงงานปล่อยให้คณะกรรมการไตรภาคีได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่เข้ามาแทรกแซง ปล่อยให้การปรับขึ้นค่าจ้างเดินไปตามกลไกที่มีอยู่ ซึ่งที่ผ่านมา คณะกรรมการระบบไตรภาคีปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี และเป็นเหตุเป็นผลอยู่แล้ว และอยากให้ รมว.แรงงาน สนับสนุนการจัดตั้งสภาองค์การนายจ้างและสภาองค์การลูกจ้างของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสนับสนุนสภาทั้งสองส่วนนี้