xs
xsm
sm
md
lg

ตามสองสาวใส “ใหม่-กลอย” ไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่เมืองปลาดิบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สองสาวสาละวนทำงานอย่างเริงร่า
โดย รัชญา จันทะรัง

ในค่ำคืนที่ฝนโปรยปรายภายใต้ท้องฟ้านครโอซากา (Osaka) ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้ากลางเมืองใหญ่ บนถนนชินไซบาชิ (Shinsaibashi) แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำของเมืองใหญ่อันดับสอง รองจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ย่านที่ๆ เต็มไปด้วยร้านค้าเก่าแก่ปะปนกับร้านค้าอันทันสมัยที่จำหน่ายสินค้าหลากหลายรูปแบบสำหรับคนทุกเพศทุกวัย และยังเต็มไปด้วยแสงสีของความเป็นนครที่ไม่เคยหลับใหล...

ณ เวลา 02.00 น.ระหว่างเดินทางกลับที่พัก พลันสายตาก็ไปสะดุดกับตัวหนังสือภาษาไทยที่อยู่ในป้ายไฟหลากสีบ่งบอกสัญชาติของห้องแถวที่อยู่เบื้องหน้า เหมือนมีแรงดึงดูดที่จะต้องก้าวเข้าไปในตึกแห่งนั้นก็ต้องพบกับ 2 สาวใสกำลังขะมักเขม้นกับหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน แม้จะเป็นเวลาที่ต้องปิดร้านแต่ด้วยลูกค้าที่ยังอยู่ในร้านการทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟ ณ ร้านอาหาร “ฮาเทหน้า” (HATENA) ก็ยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้าน

พัชรภรณ์ มานะกุล หรือ น้องใหม่ สาวน้อยวัย 24 ปี ที่ตัดสินใจบินลัดฟ้าสู่เมืองปลาดิบเพื่อมาเรียนภาษาญี่ปุ่น ณ ต้นกำเนิดขนานแท้ เล่าถึงจุดเริ่มต้นเรื่องราวชีวิตที่ดินแดนแห่งนี้ ว่า หลังจากที่เรียนจบวิทยาศาสตร์สาขาเกษตร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เมื่อปี 2551 ก็ไปลงเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 ปี แต่เรียนที่ไทยแล้วพูดไม่ค่อยได้จึงอยากมาเรียนที่นี่เพิ่มเติมโดยเดินทางมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โอซาก้าเมื่อเดือนเมษายนปี 2553

“ที่บ้านเห็นด้วย เพราะอยู่ที่ไทยเรียนได้จริงแต่โอกาสที่จะพูดมีน้อย แต่ถ้ามาต่างประเทศก็น่าจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่า และพอมาถึงแล้วรู้สึกประทับใจคนที่นี่ เขาเห็นเราพูดไม่ได้เวลาถามทางเขาก็จะพาไป หรือบางทีเขาพูดไม่ได้ก็จะพาเราไปเหมือนกัน”

ส่วนที่เลือกมาเป็นนักเรียนไทยที่เมืองนี้มากกว่าที่จะไปโตเกียว น้องใหม่ให้เหตุผลว่า โตเกียวมีแต่ความแข่งขัน จะขึ้นรถไฟก็ต้องแข่งกัน แม้ที่นี่จะรีบจริงแต่คนใจดีมีมากกว่า โดยน้องใหม่ให้นิยามโอซาก้าว่าคือจังหวัดเชียงใหม่ ของบ้านเรานั้นเอง...

น้องใหม่ เล่าต่อว่า ที่นี่ค่าครองชีพสูงมากโดยจะต้องคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้เกิน 1 แสนเยนต่อเดือน ซึ่งค่าใช้จ่ายประกอบไปด้วย ค่าเช่าบ้าน 4 หมื่นเยนต่อเดือน รวมค่าน้ำค่าไฟและค่าอื่นๆภายในบ้านประมาณ 45,000-50,000 เยนต่อเดือน ซึ่งที่บ้านจะส่งมาให้ใช้ประมาณเดือนละ 20,000-30,000 บาท ดังนั้น ถ้าเรียนอย่างเดียวก็จะเป็นภาระที่บ้านมากเกินไปจึงตัดสินใจมากสมัครงานเพื่อหารายได้พิเศษที่ร้านฮาเทหน้า ซึ่งพอได้ทำงานในเดือนสิงหาคมปีแรกที่มาถึงก็ให้ทางบ้านส่งเงินให้น้อยลง คือ ลดเหลือเดือนละ 10,000 บาท พอเข้าปีที่ 2 ทางบ้านก็ไม่ได้ส่งให้แล้ว

“ทำงานที่นี่จะได้ชั่วโมงละ 850 เยน ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่ดี เพราะเรตทั่วไปอยู่ที่ 800 เยนต่อวัน อีกทั้งที่นี่เปิดโอกาสให้คนที่ยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เข้าทำงาน ขณะที่อื่น เช่น ที่แมคโดนัลด์สำหรับงานบริการจะรับเฉพาะคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้เท่านั้น และได้ค่าแรง 800-850 เยน ซึ่งไม่ต่างจากที่นี่ ซึ่งเฉลี่ยใหม่ต้องทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ใครจะเข้าเวรวันไหนพี่เขาก็ให้คุยกันเองเริ่มงานตั้งแต่ 17.30-02.00 น.ตกเดือนนึงก็จะได้เงินเดือนละ 90,000 เยน”

ในขณะที่มือของสาวน้อยวัย 24 ปี ยังคงสาละวนทำงานไปแต่เรื่องราวของเธอก็ยังถูกถ่ายทอดอย่างไม่มีหยุดต่อว่า รู้สึกสนุก และเป็นกันเองในการทำงานเพราะเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่เป็นคนไทยจึงไม่กดดันมาก ถ้าพูดไม่ได้ก็ปรึกษากันได้ที่นี่จะอยู่เหมือนครอบครัว ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนญี่ปุ่น คนไทยก็มีบ้างซึ่งจะเป็นแขกประจำที่มาก็จะทานอาหารไทยมากที่สุด เมนูที่สั่งมากๆ ก็คือ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย เป็นต้น

“คนญี่ปุ่นคิดว่าคล้ายๆ คนไทย วัฒนธรรมก็คล้ายๆ กันแต่อาจมีบางอย่างที่แตกต่างซึ่งข้อเสียของคนที่นี่คือเหมือนรู้หน้าไม่รู้ใจ บางทีพูดออกไปไม่ใช่ ทั้งนี้เพราะเขาถูกฝึกไม่ให้พูดขอใคร ดังนั้นเรามาเรียนที่นี่ก็เอาสิ่งดีๆ ที่เรามีให้เขาไป พร้อมกับเอาสิ่งดีๆ ของเขามา”
น้องใหม่ ฝากบอกถึงคนที่มาอยากเรียนที่นี่ด้วยว่า ถ้าอยากมาอยู่ญี่ปุ่นจริงๆก็ขอให้ตั้งใจมา อย่าทำเล่นๆ เพราะคนที่นี่จะจำซึ่งคนไทยรุ่นๆ ก่อนเขาทำเรื่องดีๆ ไว้ และถ้าจะมาเรียนที่นี่อย่างเดียวก็ได้ แต่ก็อยากให้ทำงานพิเศษเพื่อเป็นประสบการณ์ อีกทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสให้ตัวเราอีกด้วย

ถนนสายชีวิตของน้องใหม่ยังคงต้องเรียนภาษาไปอีก 2 ปีจากนั้นก็จะเข้าเรียนต่อทางด้านธุรกิจที่เซนมง(Senmon Gakko) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สอนวิชาชีพ วุฒิเทียบเท่ากับอาชีวะ แม้อีกใจหนึ่งจะอยากเรียนต่อปริญญาโทแต่ด้วยความที่การเรียนต่อโทที่นี่จะต้องต่อสายที่ตนเองจบมาเท่านั้น จึงทำให้น้องใหม่อาจไม่ได้เรียน แต่ท้ายที่สุดแล้ว น้องใหม่บอกว่าสิ่งสำคัญที่เป็นเป้าหมายของการมาเมืองซากุระคือการได้ภาษาญี่ปุ่นกลับไปนั้นเอง

ไม่ต่างอะไรจากพี่กลอย - กลอยใจ เจนพนัส สาวหน้าใสวัย 32 ปี ที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่บริษัทญี่ปุ่น มุ่งหน้ามาเรียนภาษาของชาวซามูไรด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับน้องใหม่ เพราะแม้จะจบเอกภาษาญี่ปุ่นแถมยังทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นอีกแต่กลับไม่ได้ใช้ในสิ่งที่ตนเองร่ำเรียนมาที่ควร ทำให้รู้สึกไม่ดีพอบวกกับอยากได้ประสบการณ์ไกลบ้านจึงได้มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

“ที่บ้านถามว่า ทำไมไม่เรียนต่อปริญญาโทแต่เราอยากเรียนภาษามากกว่าก็บอกเขาไปอย่างนั้น ตั้งใจจะเรียนภาษา 2 ปีซึ่งคนไทยเรียนภาษาที่นี่เยอะมาก มีประมาณ 2 พันคน จากนั้นก็จะเข้าเรียนที่เซนมงด้านธุรกิจการตลาดอีก 2 ปี”

พี่กลอย เล่าถึงประสบการณ์ของการทำงานพิเศษให้ฟังด้วยว่า ก็มีช่วงที่เหนื่อยบ้างอย่างตอนนี้ทำกัน 2 คนแต่ก็สนุกดี เพราะที่นี่เหมือนบ้านซึ่งการทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยมันก็เป็นประสบการณ์นอกห้องเรียน เพราะทำให้เรียนรู้ว่าคนญี่ปุ่นพูดยังไงเพราะสำเนียงแต่ละท้องที่ก็จะไม่เหมือนกัน หรืออาจจะไปเป็นอาสาสมัครก็ได้ แต่ทั้งนี้ถ้าจะมาต้องตั้งใจจริงๆ เพราะมีบางคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการมาเรียนที่นี่ก็มีมาแล้ว

“ส่วนปัญหาการทำงานมันก็คือเรื่องการใช้ภาษาญี่ปุ่นเพราะเราไม่ได้เก่งมาก ลูกค้าแต่ละคนก็จะใช้วิธีการพูดไม่เหมือนกันจึงทำให้ฟังผิดบ้าง เช่น Red Eye เราจะฟังว่าเป็น Red Wine ซึ่งคนญี่ปุ่นพูดจะออกเสียงใกล้เคียงกันมากทำให้เรารับรายการผิด แต่พี่เจ้าของร้านก็จะเขียนประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นไว้เลยว่า สัญญาว่า ภาษาญี่ปุ่นจะดีกว่านี้” พี่กลอย สรุปทิ้งท้ายด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
กลอยใจ เจนพนัส
พัชรภรณ์ มานะกุล
บรรยากาศภายในร้าน“ฮาเทหน้า” (HATENA) บนถนนชินไซบาชิ นครโอซาก้า
กำลังโหลดความคิดเห็น