ปลัด สธ.ชี้ การเบิกจ่ายยากลูโคซามีน เป็นเรื่องระหว่างกรมบัญชีกลาง กับสถานบริการสาธารณสุขโดยตรง ไม่จำเป็นต้องชี้แจงผ่าน สธ. ย้ำกระทรวงทำได้แค่กำชับสถานบริการในสังกัดให้ทำตามแนวทางกรมฯ ขณะชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนค้านสุดลิ่ม
จากกรณีที่กรมบัญชีกลางมีการจัดประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาหาข้อสรุปเกี่ยวกับประสิทธิผลและความคุ้มค่าของกลุ่มยาบรรเทาอาการข้อเสื่อม กลูโคซามีน ซึ่งผลการประชุม ระบุว่า ยาดังกล่าวยังมีความจำเป็นสำหรับผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมในบางกลุ่ม เท่านั้น และหากมีการให้ใช้ยาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายจะต้องมีการกำหนดแนวเวชปฏิบัติ คือ มีเงื่อนไขข้อบ่งชี้ และระยะเวลาในการใช้ยา ซึ่งตามแนวปฏิบัติบริการดูแลรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม พ.ศ.2553 ของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ดังนั้น เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเดือดร้อนของข้าราชการและครอบครัว และไม่เป็นการริดรอนสิทธิของผู้ป่วยที่มีความจำเป็นจริงๆ ที่ได้รับการรักษาโดยใช้ยากลูโคซามีนแล้ว ทำให้อาการดีขึ้น จึงให้มีการเบิกค่ายานี้ได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขข้อบ่งชี้ที่ราชวิทยาลัยแพทย์ออโธปิดิกส์แห่งประเทศไทยกำหนดเกี่ยวกับระยะเวลาการใช้ยา ซึ่งเป็นความเห็นที่ตรงกันกับ คณะอนุกรรมการจากแพทยสภา สมาคมข้าราชการพลเรือน และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยเรื่องนี้จะได้นำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ พิจารณาต่อไปนั้น
ล่าสุด นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า กรณีที่มีการอนุญาตให้เบิกจ่ายยากลูซามีนได้ ทางกรมบัญชีกลางน่าจะมีการแจ้งข้อมูลให้ทางสถานพยาบาล หรือหน่วยบริการสาธารณสุขทราบเอง ไม่จำเป็นต้องแจ้งผ่านกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด เพราะผู้ที่จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์การเบิกจ่ายยาดังกล่าวนั้น ต้องยึดตามแนวทางของกรมบัญชีกลางเป็นหลัก ซึ่งหากไม่มีเกณฑ์ในการเบิกจ่ายใหม่ก็คงต้องอิงจากหนังสือคำสั่งเดิมไปก่อน ในส่วนของกระทรวงนั้น ยังคงทำได้ในส่วนของกำชับให้หน่วยงานมีการควบคุมการเบิกจ่ายยาอย่างเหมาะสมภายใน โรงพยาบาลในสังกัดเท่านั้น และเน้นย้ำให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งกรมบัญชีกลางอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นการรับรู้โดยพฤตินัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนนั้นได้ออกแถลงการณ์ คัดค้านการให้ใช้ยาแก้ปวดเข่ากลูโคซามีนของกรมบัญชีกลางโดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้ประสานงานชมรม กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง ทั้งๆ ที่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงความคุ้มค่าของยานี้เลย และแม้แต่อนุกรรมการก็ยังไม่มีมติ ดังนั้น การอนุมัติครั้งนี้ เพื่อขอคะแนนจากข้าราชการ เป็นการให้เพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งหรือไม่ กกต.ควรต้องจับตาด้วย เพราะที่ผ่านมานั้นมีข้อมูลวิชาการออกมาถึงผลกระทบของยาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้น หากยังไม่มีความชัดเจนก็ควรรอข้อมูลที่เป็นข้อสรุปเสียก่อน แล้วต้องรัดเข็มขัดการเบิกจ่ายยาดังกล่าวในสิทธิสวัสดิการข้าราชการเสียก่อน ที่สำคัญ อย่าลืมว่า สิทธิอื่นยังมี การทำแบบนี้ไม่ก่อเกิดความยุติธรรมเลย
“อยากตั้งคำถามถึงปลัดกระทรวงการคลัง ว่า การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการใช้อำนาจเกินอำนาจของตนเองหรือไม่ เพราะการให้สิทธิข้าราชการในการเบิกจ่ายยานั้น ต้องผ่านมติ ครม.โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และคณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ยังไม่ให้การเห็นชอบ ไม่ใช่อำนาจของปลัดกระทรวงการคลัง” น.ส.สารี กล่าว
