xs
xsm
sm
md
lg

ไร้ข้อสรุปตรวจสอบ ป.บัณฑิต คุรุสภา อ้างเอกสารไม่พอชี้ผิดหรือไม่ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ที่ประชุมคณะทำงานคุรุสภา ไร้ข้อสรุป อ้างเอกสารที่ได้ไม่พอชี้ชัดว่ามีซื้อขาย ป.บัณฑิต หรือปลอมเอกสารจริง ถ่วงเวลาอ้างรอเสนอที่ประชุมอนุ กม.ของคุรุสภานัดต่อไป ที่ไม่แน่ใจว่าเมื่อใด ขณะที่ “องค์กร” ไม่รอเตรียมประสานอนุ กม.ประชุมหารือวันที่ 14 มิ.ย.เพื่อส่งเรื่องให้ทันบอร์ดคุรุสภาพิจารณา 16 มิ.ย.นี้ ด้าน “ไชยยศ” เรียก สกอ.คุรุสภา ดีเอสไอ รายงานความคืบหน้าที่ขอนแก่นวันที่ 13 มิ.ย.นี้พร้อมบอกหากอดีตอธิการ มอส.หากเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรมให้มาบอก พร้อมแก้ไขปัญหาให้หากพบว่าเป็นจริง ส่วน คกก.ควบคุมข้องใจทำไมเปลี่ยนชื่อผู้ถือบัญชีล่าช้า สั่ง “สุมนต์” ไปหาคำตอบพร้อมแจงสาเหตุที่เงินในบัญชีมีเพียง 24 ล้านบาท ขัดกับจำนวน นศ.ที่มาเรียนมีมากเงินรายได้ มหา’ลัยควรมากกว่านี้

ตามที่คณะอนุกรรมการกฎหมายของคุรุสภา ได้แต่งตั้ง นายสงขลา วิชัยขัทคะ เป็นประธานคณะทำงาน ไปดำเนินการกลั่นกรองสำนวนกรณีการปลอมแปลงเอกสารเพื่อมาขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.) ให้แล้วเสร็จ ภายใน 15 วันแล้วรายงานกลับมาที่ประชุมคณะอนุกรรมการนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (7 มิ.ย.) แหล่งข่าวระดับสูงของคุรุสภา เปิดเผยว่า วันนี้ได้มีการประชุมคณะทำงานและได้มีการพิจารณาประเด็นเรื่องใครถูกหรือผิดเท่านั้น เพราะการพิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องนั้นไม่ใช้อำนาจของคณะทำงานอีกทั้ง การประชุมวันนี้ยังไม่ชี้ชัดว่ามีการซื้อขาย หรือปลอมแปลงเอกสารจริง เพราะเอกสารและข้อมูลต่างๆ ที่ให้มาพิจารณายังไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม คณะทำงานก็จะนำผลการประชุมไปเสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการกฎหมายอีกครั้ง ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะประชุมเมื่อไหร่และอาจจะยาวไปถึงเดือน ก.ค.ซึ่งจะไม่ทันการประชุมคณะกรรมการคุรุสภาในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ ที่จะตัดสินว่าคุรุสภาจะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่

เชื่อว่า เมื่อนำมติที่ประชุมในครั้งนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการกฎหมาย ก็จะมีการตั้งคณะทำงานเพิ่มขึ้นอีกโดยอาจอ้างว่าเพื่อเป็นการกลั่นกรอง ซึ่งเรื่องนี้มีการเตะถ่วงแน่นอนแม้ก่อนหน้านี้จะมีการออกมาอ้างว่า ที่ตั้งคณะทำงานเพิ่ม เพื่อเป็นการกลั่นกรองให้รอบครอบจะได้ไม่โดนฟ้องกลับ” แหล่งข่าวระดับสูงของคุรุสภา กล่าว

ด้านนายองค์กร อมรสิรินันท์ เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ตนไม่อยากให้เรื่องการเอาผิดดำเนินการล่าช้าถึงเดือน ก.ค.จึงเตรียมประสานกับคณะอนุกรรมการกฎหมายเพื่อประชุมในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ เพื่อนำมติที่ประชุมคณะทำงานเข้าพิจารณาว่าจะมีความเห็นอย่างไร เพื่อจะได้นำเสนอให้ทันที่ประชุมบอร์ด คุรุสภาในวันที่ 16 มิ.ย.เพราะไม่เช่นนั้นก็จะมีความล่าช้าออกไปอีก 1 เดือน เนื่องจากที่ประชุมบอร์ดคุรุสภาจะประชุมเดือนละครั้งเท่านั้น

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า เลขาธิการคุรุสภาได้รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายแล้ว ตนเห็นว่า กรณีดังกล่าวควรจะได้พิจารณาในเรื่องการนำใบป.บัณฑิตมาขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเพื่อไปสอบครูผู้ช่วย ซึ่งมีพยานหลักฐานยืนยันว่าการได้ใบประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้คุรุสภาเสียหาย ดังนั้น บอร์ดคุรุสภาต้องไปพิจารณาว่าเรื่องนี้ทำให้คุรุสภาเสียหายหรือไม่ เพื่อจะได้รักษามาตรฐานในการยื่นคำขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูต่อไป

ด้านนายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 13 มิ.ย.ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ตนจะเชิญผู้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกรณี ป.บัณฑิต ของ มอส.ทั้ง สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) คุรุสภา คณะกรรมการควบคุม มอส.กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบถามถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบว่าเป็นอย่างไร และพบความผิดเพิ่มเติมหรือไม่ ส่วนที่ นายอัษฎางค์ แสวงการ อดีตอธิการบดี มอส.บอกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ตนพร้อมจะรับฟังข้อมูลทุกอย่างจากนายอัษฎางค์ และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในวันดังกล่าวหากพบว่ามีความไม่เป็นธรรมจะได้ช่วยแก้ไขในทันที

ส่วนกรณีที่ นายอัษฎางค์ ระบุว่า สาเหตุที่สมุดบัญชีของ มอส.ยังเป็นชื่อของผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้ง เพราะผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งเป็นผู้ลงทุนและออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการก่อตั้งมหาวิทยาลัย และเพิ่มยกฐานะจากวิทยาลัยมาเป็นมหาวิทยาลัยได้เพียง 1 ปีกว่า และกำลังดำเนินการตามขั้นตอนของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และไม่ได้มีเจตนาปกปิดนั้น นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (รองเลขาธิการ กกอ.) ในฐานะคณะกรรมการควบคุม มอส.กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเอกชนใดจะเปิดดำเนินการได้จะต้องผ่านข้อกำหนดต่างๆ ของ สกอ.ก่อน ซึ่งเรื่องการโอนมอบทรัพย์สินและที่ดินให้เป็นของมหาวิทยาลัยก็ถือว่าเป็นข้อกำหนดหนึ่ง โดยจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นตั้งแต่เริ่มจัดตั้งเพราะมหาวิทยาลัยถือเป็นนิติบุคคลไม่ใช่เป็นทรัพย์สินของผู้รับใบอนุญาตจัดตั้ง เรื่องดังกล่าวถือเป็นข้อกำหนดที่มหาวิทยาลัยเอกชนทุกแห่งทราบดีอยู่แล้ว หากไม่ดำเนินการถือว่าเป็นความบกพร่องเพียงแต่ที่ผ่านมาสกอ.ไม่ได้ตรวจสอบเท่านั้น ดังนั้น หากมีการเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งจริง มหาวิทยาลัยก็ต้องใช้หนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่และหากเงินที่มีอยู่ไม่พอใช้หนี้ก็จำเป็นต้องขายทรัพย์สินบางส่วนของมหาวิทยาลัยเพื่อชำระหนี้ และเหลือเท่าไหร่ถึงจะคืนให้ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งทั้งหมด ดังนั้นถึงมีความจำเป็นต้องให้มีการส่งมอบทรัพย์สินให้ครบถ้วน

เท่าที่ทราบขณะนี้การส่งมอบทรัพย์เกือบครบถ้วนแล้ว แต่ที่ยังเป็นปัญหาคือไม่เข้าใจว่าทำไมธนาคารจึงยังไม่เปลี่ยนชื่อผู้มีสิทธิเบิกจ่ายจากผู้ได้รับใบอนุญาตมาเป็น นายสุมมนต์ สกลไชย อธิการบดีคนปัจจุบันตามกฎหมาย ทั้งที่การเปลี่ยนชื่อไม่น่าจะใช้เวลานานขนาดนี้ ขณะที่สมุดบัญชีบางเล่มยังเป็นชื่อของอดีตอธิการบดี ซึ่งการส่งมอบก็ไม่ใช่เรื่องยาก หรือหากเล่มไหนเป็นชื่อของบผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งซึ่งเป็นแม่ของอดีตอธิการบดีก็สามารถทำได้เร็วเพียงแค่เซ็นมอบอำนาจให้อธิการบดีส่งมอบแทน ซึ่งได้ขอให้นายสุมนต์ไปตรวจสอบแล้วว่าที่ช้าเพราะอะไร และขอให้ตรวจสอบด้วยว่าทำไมเงินในบัญชีจึงมีอยู่แค่ 24 ล้านบาททั้งที่หากดูตามจำนวนนักศึกษาแล้ว มหาวิทยาลัยน่าจะมีรายได้มากกว่านี้ ก็ให้ไปตรวจสอบว่าเงินที่หายไปอยู่ที่ไหน จัดทำบัญชีรายรับ รายจ่ายที่เป็นระบบเพื่อให้คณะกรรมการควบคุมฯตรวจสอบอีกครั้ง” นพ.กำจร กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น