xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละนโยบายการศึกษา ไม่พ้นประชานิยม “ฉาบฉวย หลอกลวง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย...สุกัญญา แสงงาม
พรรคการเมืองที่คาดการณ์ว่าจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ต่างชูนโยบายด้านการศึกษา สไตล์ประชานิยม หวังเรียกคะแนนเสียง ยกตัวอย่างเช่น พรรคเพื่อไทย เน้นซื้อคอมพิวเตอร์ให้เด็กนักเรียน ส่วนประชาธิปัตย์ สานต่อโครงการเรียนฟรี 15 ปี ให้นักศึกษากู้เงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 250,000 บาท หรือแม้แต่พรรคเล็กที่นโยบายไร้ความชัดเจน แต่หากมองในมุมของนักวิชาการด้านการศึกษาแล้ว เหล่านี้เป็นเพียงความฉาบฉวยที่อาจไม่ช่วยพัฒนาวงการศึกษาไทยแต่อย่างใด
 

*นโยบายฉาบฉวย ใช้เงินหว่าน
ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความเห็นว่า พรรคการเมืองส่วนมาก ชูนโยบายการศึกษา แบบง่ายๆ จับต้องได้ และฉาบฉวย ทว่า ไม่ได้พัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กอย่างแท้จริง เช่น พรรคเพื่อไทย ชูซื้อคอมพ์ให้นักเรียนเรียนอย่างทั่วถึง ทำได้ง่ายสุดและเป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถจับต้องได้ ว่า เขาจัดซื้อคอมพ์ให้ลูกหลานได้เรียนจริงตามที่หาเสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เดินหน้าชูนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ประชาชนชอบ เรียนโดยไม่ต้องจ่ายเงิน เมื่อประชาชนคิดว่าตัวเองและลูกหลานได้ประโยชน์ก็พร้อมจะเทคะแนนเสียงให้ ที่พวกเรามักจะเรียกว่า นโยบายประชานิยม

“การซื้อคอมพ์ให้เด็กระดับประถม ผมไม่เห็นด้วยเพราะเด็กยังเล็กเกินไป อาจใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า ถ้าซื้อควรซื้อให้เด็กระดับมัธยมปลายมากกว่า อย่างไรก็ตาม ต้องพัฒนาเนื้อหาใช้กับคอมพ์ด้วย ไม่ใช่ซื้อแล้วให้เด็กเล่นเกม พิมพ์งาน ถ้าใช้ประโยชน์แค่นี้ก็ไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไป”

*พรรคการเมืองเมิน‘ครู’หัวใจระบบการศึกษา
ดร.วรากรณ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการศึกษาบ้านเรามีแต่ถอยหลัง เพราะหลายปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย พอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็จะโละนโยบายรัฐบาลเดิมทิ้ง แล้วมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ นอกจากจะสิ้นเปลืองงบประมาณแล้ว ยังทำให้ระบบการศึกษาไม่ต่อเนื่อง อยากฝากไปยังฝ่ายบริหารให้วางนโยบายการศึกษาให้มีระบบต่อเนื่องและไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนมานั่งก็ต้องสานต่อ

“ยังไงก็ตาม ผมมองว่า ครูคือหัวใจของระบบการศึกษา ถ้ามีครูเก่ง เด็กก็เก่งด้วย ซึ่งพรรคการเมืองไม่ชู “ครู” เพราะใช้เวลาหลายปี ที่สำคัญ จับต้องไม่ได้ ไม่เหมือนซื้อคอมพ์แจก นโยบายให้ฟรี ชาวบ้านเห็นทันที” ดร.วรากรณ์ กล่าวและว่า ปัจจุบันเราวางแผนผลิตครูเก่งมาสอนเด็ก ถ้าพรรคไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลขอฝากให้สานนโยบายนี้ต่อด้วย

*แจกคอมพ์เด็กหรือใครได้ประโยชน์?
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองล้วนแล้วแต่เรียกคะแนนนิยมจากประชาชนทั้งสิ้น ดังนั้น คงเป็นหน้าที่ของประชาชนที่มีสิทธิมีเสียงในการเลือกตั้งต้องพินิจพิเคราะห์ให้ดีว่านโยบายการศึกษา ช่วยพัฒนาสติปัญญาลูกหลานซึ่งอนาคตจะเป็นกำลังของชาติจริงหรือไม่

รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายไฮเทคเข้ามามีบทบาทด้านการศึกษา นั่นคือแจกคอมพิวเตอร์ให้นักเรียน ซึ่งความเห็นส่วนตัวคอมพ์เป็นเพียงสื่อช่วยสอนชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่แก่นหรือหัวใจของการศึกษา ผมมีความเชื่อว่าลูกศิษย์จะเก่งได้ต้องเรียนกับอาจารย์เก่งๆ อีกอย่างการสั่งซื้อคอมพ์ครั้งละจำนวนมากๆ มองให้ลึกๆ ผลประโยชน์ตกอยู่ที่เด็กหรือใครกันแน่

“คอมพ์เพื่อการศึกษา ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีอยู่ยุคหนึ่งซื้อคอมพ์แจกจ่ายให้โรงเรียน วันนี้คอมพ์เหล่านั้นเกินครึ่งถูกทิ้ง เป็นการสูญเปล่า ใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่ากับภาษีนำมาซื้อคอมพ์ อยากให้มีนโยบายพัฒนาครูให้เก่งแล้วนำความรู้มาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

*เรียนฟรี 15 ปีต้องเน้นคุณภาพ
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ เน้นสานต่อเรียนฟรี 15 ปี รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ “ไม่ฟรีจริง” เพราะ “ฟรี” ในความคิดของประชาชนต้องไม่เก็บเงินแม้แต่บาทเดียว ตรงนี้ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจทั่วถึงและถูกต้อง ขณะเดียวกันต้องเน้นคุณภาพด้วย ที่ผ่านมา มุ่งไปที่ปริมาณเน้นคุณภาพค่อนข้างน้อย ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กถอยหลังเข้าคลอง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเด็กมีพัฒนาการก้าวไปข้างหน้า

กรณีการเพิ่มวงเงินกู้ กยศ.ให้สูงขึ้น รศ.ดร.สมพงษ์ แสดงความเห็นว่า ดี เพราะช่วยให้เด็กที่มาจากครอบครัวยากจนได้เรียนในระดับที่สูงขึ้น แต่ปัญหาที่เจอเด็กที่ได้กู้หลายรายไม่ได้จนจริง ขณะที่เด็กจนกลับไม่ได้กู้ ต้องไปกู้นอกระบบแทน ตรงนี้ขอฝากพรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ปัญหาด้วย

แนะพรรคการเมืองพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาสหพันธ์กงสุลโลก กล่าวว่า นโยบายการศึกษาที่พรรคการเมืองชูหาเสียง ในภาพรวมดีเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ดี การซื้อคอมพ์ ถามว่า จะวางนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาอย่างไรบ้าง คือ ตรงนี้ไม่ได้พูดลงลึก และไม่ใช่ซื้อให้เด็กเล่นเกม หรือใช้งานเล็กๆ น้อยๆ สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป ก็คือ พัฒนาครูให้ใช้คอมพ์มาเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอน ผลิตสื่อสอนเด็ก พูดง่ายๆ ครูต้องเรียนรู้การใช้สื่อไฮเทคแล้วนำมาบูรณาการเนื้อหาวิชาต่างๆ แล้วนำมาเผยแพร่แก่เด็ก ส่วนนโยบายเรียนฟรี ถือว่า เริ่มต้นดี สิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไป “คุณภาพการศึกษา”

ปัจจุบันเป็นที่รู้กันดีว่า คุณภาพการศึกษาไทย ดูเหมือนย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลัง ดร.วีระชัย กล่าวว่า ผมคลุกคลีอยู่กับวงการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ มองว่า บ้านเรามีจุดอ่อน “ครู” เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพรรคการเมืองใด เข้ามาเป็นรัฐบาลยกเครื่องพัฒนาครู ผมรู้ดีว่าขณะนี้มีการอบรมครูอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งจัดโดยหน่วยงานของรัฐ ผมแนะให้ครูอบรมกับเอกชน เพราะเขามีกลยุทธ์พัฒนาครูให้มีคุณภาพได้รวดเร็ว



กำลังโหลดความคิดเห็น