สพฐ.เตรียมนำผลสอบโอเน็ต ใช้เป็นตัวชี้วัดเรียนต่อ ม.1 ม.4 ขณะนี้นำผลโอเน็ตมาจำแนกขนาดโรงเรียน ดูจุดอ่อนนำปรับการเรียนการสอน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้น
วันนี้ (26 เม.ย.) นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า จากผลประเมินแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ที่ผ่านมา พบว่า นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยในวิชา คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษทำได้ไม่ถึงร้อยละ 20 ที่ประชุมให้ปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนเพื่อให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดย สพฐ.จะประสานกับสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เพื่อขอข้อมูลมาจำแนกในบริบทต่างๆ โดยการใส่ตัวแปรของขนาดโรงเรียนและที่ตั้งโรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนชนบท ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนดีประจำตำบล โรงเรียนดีประจำอำเภอ รวมไปถึงโรงเรียนมาตรฐานสากล การจำแนกบริบทเหล่านี้จะทำให้เห็นประวัติของโรงเรียนแต่ละกลุ่มตลอดจนสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน โดยจะเร่งดำเนินการวิเคราะห์เป็นมาตรฐานถึงจุดอ่อนของนักเรียนที่ทำข้อสอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร พร้อมวิเคราะห์จุดอ่อนของครู และจัดอบรมหลักสูตรให้ครูได้มีความรู้เพิ่มขึ้นซึ่งอาจเชื่อมโยงการพัฒนาครูของคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ มาช่วยด้วย
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า นอกจากนี้ โรงเรียนควรทราบตัวชี้วัดสำคัญตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานปี 2551 ที่มีกว่า 2,000 ตัวชี้วัด โดยโรงเรียนจะต้องทราบว่า มีตัวชี้วัดหลักสำคัญอะไรบ้างในการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เพื่อให้เขตพื้นที่กำกับติดตามว่านักเรียนมีสมรรถนะครอบคลุมตัวชี้วัดสำคัญทั้งหมดหรือไม่ ขณะเดียวกัน จะมีการจัดทำคลังข้อสอบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยจะพัฒนาให้มีรูปแบบข้อสอบคู่ขนานกับข้อสอบโอเน็ต เพื่อให้นักเรียนมีความคุ้นเคยและรู้วิธีการทำข้อสอบมากขึ้น
“เพื่อให้โอเน็ตมีความศักดิ์สิทธิ์จะหารือกับสำนักวิชาการของ สพฐ.และสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจะมีการนำผลโอเน็ตมาประกอบการเข้าเรียนในช่วงชั้น ม.1 ม.4 หรือการเลื่อนระหว่างช่วงชั้น โดยเบื้องต้นคาดว่าจะนำผลคะแนนโอเน็ต 20% มาใช้ ซึ่งทุกคนจะต้องมีส่วนรับผิดชอบตั้งแต่ระดับส่วนกลาง เขตพื้นที่ โรงเรียน ไปจนถึงครูผู้สอน จะต้องกำหนดเป็นคำรับรองและเป้าหมายการปฎิบัติงานให้ชัดเจน มิฉะนั้น ผลคะแนนโอเน็ตจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีการนำไปใช้” นายชินภัทร กล่าว
วันนี้ (26 เม.ย.) นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า จากผลประเมินแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ที่ผ่านมา พบว่า นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยในวิชา คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษทำได้ไม่ถึงร้อยละ 20 ที่ประชุมให้ปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนเพื่อให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดย สพฐ.จะประสานกับสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เพื่อขอข้อมูลมาจำแนกในบริบทต่างๆ โดยการใส่ตัวแปรของขนาดโรงเรียนและที่ตั้งโรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนชนบท ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนดีประจำตำบล โรงเรียนดีประจำอำเภอ รวมไปถึงโรงเรียนมาตรฐานสากล การจำแนกบริบทเหล่านี้จะทำให้เห็นประวัติของโรงเรียนแต่ละกลุ่มตลอดจนสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน โดยจะเร่งดำเนินการวิเคราะห์เป็นมาตรฐานถึงจุดอ่อนของนักเรียนที่ทำข้อสอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร พร้อมวิเคราะห์จุดอ่อนของครู และจัดอบรมหลักสูตรให้ครูได้มีความรู้เพิ่มขึ้นซึ่งอาจเชื่อมโยงการพัฒนาครูของคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ มาช่วยด้วย
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า นอกจากนี้ โรงเรียนควรทราบตัวชี้วัดสำคัญตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานปี 2551 ที่มีกว่า 2,000 ตัวชี้วัด โดยโรงเรียนจะต้องทราบว่า มีตัวชี้วัดหลักสำคัญอะไรบ้างในการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เพื่อให้เขตพื้นที่กำกับติดตามว่านักเรียนมีสมรรถนะครอบคลุมตัวชี้วัดสำคัญทั้งหมดหรือไม่ ขณะเดียวกัน จะมีการจัดทำคลังข้อสอบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยจะพัฒนาให้มีรูปแบบข้อสอบคู่ขนานกับข้อสอบโอเน็ต เพื่อให้นักเรียนมีความคุ้นเคยและรู้วิธีการทำข้อสอบมากขึ้น
“เพื่อให้โอเน็ตมีความศักดิ์สิทธิ์จะหารือกับสำนักวิชาการของ สพฐ.และสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจะมีการนำผลโอเน็ตมาประกอบการเข้าเรียนในช่วงชั้น ม.1 ม.4 หรือการเลื่อนระหว่างช่วงชั้น โดยเบื้องต้นคาดว่าจะนำผลคะแนนโอเน็ต 20% มาใช้ ซึ่งทุกคนจะต้องมีส่วนรับผิดชอบตั้งแต่ระดับส่วนกลาง เขตพื้นที่ โรงเรียน ไปจนถึงครูผู้สอน จะต้องกำหนดเป็นคำรับรองและเป้าหมายการปฎิบัติงานให้ชัดเจน มิฉะนั้น ผลคะแนนโอเน็ตจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีการนำไปใช้” นายชินภัทร กล่าว
