สธ.เตรียมดันรางจืด เป็นสมุนไพรเอกของชาติ ทัดเทียมโสมเกาหลี หลังพบคุณสมบัติเป็นทั้งยาถอนสารพัดพิษ เป็นเครื่องสำอางถนอมผิว เร่งแพร่ข้อมูลเตรียมระดมสมองขยายผลการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์
วันนี้ (11 มี.ค.) ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในการเสวนาเรื่อง “รางจืด มากกว่าสมุนไพรล้างพิษ” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยการแพทย์ทางเลือก สธ.รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร และคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โดย ดร.พรรณสิริ กล่าวว่า จากการที่ สธ.มีนโยบายให้ใช้รางจืดขับพิษสารเคมีที่ใช้กำจัดศัตรูพืช ซึ่งตกค้างในร่างกายของเกษตรกรที่พบว่ามีค่าเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 51 ในโครงการเกษตรกรปลอดโรคแล้วนั้น ยังมีนักวิจัยพบว่า มีหมอพื้นบ้านนำมารางจืดต้มผสมน้ำอาบสามารถช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งหากนำมาฝนผสมกับน้ำซาวข้าวแล้วทาใบหน้าก็สามารถช่วยลดสิวฝ้าได้ด้วย ขณะที่มีการค้นพบด้วยว่า มีชาว จ.ชุมพร 5 ราย กินยำแมงดาไฟแล้วพบแพ้พิษ โดย 2 รายอาการขั้นโคม่าต้องส่งโรงพยาบาล โอกาสรอดมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น แต่ญาตินำรางจืดมาตำจนละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำผสมน้ำซาวข้าวคุณแล้วให้พยาบาลฉีกเข้าหลอดอาหาร พบว่า 6 ชม.ต่อมาผู้ป่วยรู้สึกตัวและมีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นไปได้ว่า สมุนไพรไทยนั้นเป็นทั้งยาและอาหารที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ทาง สธ.โดยกรมการแพทย์แผนไทยจึงจะมีการผลักดันให้มีการศึกษาวิจัยรางจืดแบบครบวงจร เพื่อให้ได้รับการยอมรับทั่วโลกตลอดจนเตรียมที่จะพัฒนารางจืดให้กลายเป็นสมุนไพรเอกประจำชาติเหมือนกับประเทศเกาหลีที่มีโสมเป็นสมุนไพรอันเลื่องชื่อ
ด้าน ภญ.ดร.อัญชลี จูฑะพุทธิ เภสัชกรประจำกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยฯกล่าวว่า นักวิจัยไทยได้ศึกษารางจืดในทางเภสัชวิทยามานานกว่า 20 ปี พบคุณสมบัติสำคัญหลายประการ อาทิ การออกฤทธิ์ต้านสารพิษของสารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟส ในยาฆ่าหญ้า ฆ่าวัชพืช เช่น โฟลิดอล อีกทั้งมีฤทธิ์ต้านพิษสุรา ยาเสพติดซึ่งเป็นประโยชน์ในการรักษาและบำบัดผู้ติดยาเสพติด และสรุาได้ เนื่องจากสารสกัดในรางจืดนั้นสามารถเจือจางแอลกอฮอล์ในร่างกายได้ไว ขณะที่รางจืดแห้งต้มน้ำมีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่การศึกษาด้านนี้เป็นเพียงผลเบื้องต้นที่ทำการทดลองในหนูซึ่งป่วยเบาหวานเท่านั้น นอกจากนี้นักวิจัยบางรายพบว่ารางจืดช่วยในการต้านสารอนุมูลอิสระช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวได้ด้วย
ภญ.ดร.อัญชลี กล่าวด้วยว่า สำหรับการทบทวนผลวิจัยหลายๆเล่มเรื่องของการศึกษาประสิทธิภาพรางจืดในทางคลินิก พบว่า มี รพ.สมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จ.อุบลราชธานี ศึกษาพบชาชงรางจืดช่วยขับพิษจาสารกำจัดศัตรูพืชในร่างกายของเกษตรกรได้ โดยศึกษาในกลุ่มประชากรกลุ่มเสี่ยงในเขตอ.เดชอุดม ที่ใช้ยากำจัดศัตรูพืชจำนวน 59 ตัวอย่าง วิธีการคือทานชาชงหลังอาหารเช้า เย็น แล้วตรวจเลือดวัดผล 3 ครั้งภายในเวลา 21 วัน พบว่าผลการตรวจเลือดวันสุดท้ายมีตัวอย่างที่ร่างกายกลับมาเป็นปกติไม่มีสารพิษถึง 57 ราย อีก 2 รายอยู่ในระดับปลอดภัย คือ มสารพิษปะปนอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นอันตราย ขณะที่ รพ.ชุมพร แพ้พิษจากสาร เทโทรโดโตซิน (Tetrodotoxin) จากการกินแมงดาไฟ ซึ่งแพทย์อนุญาตให้ลองใช้รางจืดรักษาดูก็พบว่าได้ผลดี
